วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เทพฮอรัส


เทพฮอรัส(Horus) เป็นพระโอรสของเทพโอซีริส และเทวีไอซิส และเป็นพระสวามีของเทวีฮาธอร์ พระองค์ทรงเป็นเทพที่เกิดมาจากการรวมกันเทพสองสิ่ง ได้แก่ เทพนกเหยี่ยว และ เทพแห่งแสงสว่าง
เทพฮอรัสทรงมีพระเนตรข้างขวาเป็น ดวงอาทิตย์ และมีพระเนตรข้างซ้ายเป็น ดวงจันทร์ อีกทั้งยังมีศีรษะที่เป็นนกเหยี่ยวเป็นสัญลักษณ์ พระองค์จะทรงสวมมงกุฎสองชั้นหรือแกะสลักเป็นรูปวงสุริยะที่มีปีกอยู่ที่รั้ววิหารประจำพระองค์ ซึ่งก็คือ นกเหยี่ยวที่กำลังโบยบินอยู่เหนือการต่อสู้ของฟาโรห์นั่นเอง ที่อุ้งเล็บจะมีแส้แห่งความซื่อสัตย์จงรักภักดี และแหวนแห่งความเป็นอมตะนิจนิรันดร์อยู่ด้วย
เทพฮอรัสทรงมีพระนามมากมาย ตามแต่ละท้องที่จะเรียกสักการะและตามความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป เช่น เทพฮาโรเอริส(Haroeris) ฮอรัส เบฮ์เดตี(Horus Behdety) ฮาราเคต ฮาร์มาฆิส(Harmakhis) และ ฮาร์สีเอสิส(Harsiesis) เป็นต้น

เทพโอซีริส

Standing Osiris edit1.svg
เทพโอซีริส เป็นเทพรุ่นแรกสุดของชาวอียิปต์ เทพองค์นี้ได้ชื่อว่ารังเกียจความรุนแรงในทุกรูปแบบ  ซึ่งความรังเกียจเช่นนี้ก็กลายมาเป็นเรื่องที่แสนลำบากใจในภายหลัง
ในเวลาต่อมา เมื่อท้าวเธอได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นเทพผู้ปกครองอียิปต์ พระองค์ทรงพบว่า มีชาวเมืองมากมายที่เป็นพวกป่าเถื่อนแบบบริสุทธิ์ และไร้ซึ่งความดี อีกทั้งยังไม่สามารถมีความคิดเป็นของตนเองได้ เนื่องจากพวกเขาเหล่านั้นขาดความรู้ และไร้ศีลธรรม กระนั้นแล้ว โอซิริสจึงพยายามโน้มน้าวจิตใจของบรรดาประชาชนทั้งหลายจนในที่สุด คนเหล่านั้นก็หันมาเชื่อฟังในกฎระเบียบของพระองค์ได้
เชื่อหรือไม่ว่า วิธีที่พระองค์สอนนั้นยึดหลักสันติวิธีเพียงอย่างเดียว โดยพระองค์ทำให้ชาวเมืองรู้ถึงการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข และก่อร่างเป็นสังคมขึ้น การบริหารสังคมก็ทำด้วยวินัยและศีลธรรม อีกทั้งโอซิริสยังสอนให้ชาวเมืองรู้จักการเพาะปลูกทั่วไปเพื่อยังชีพ สอนให้ทำขนมปังเป็นอาหาร และยังสอนให้หมักไวน์และเบียร์เพื่อเป็นเครื่องดื่มที่ใช้ในงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อความสนุกสนานอีกด้วย นอกจากนี้ โอซิริยังสอนชาวบ้านด้านการสร้างแบบแปลงเมือง สร้างวัดวาอาราม สร้างเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ไว้บูชา และสร้างเสียงดนตรีไว้ขับกล่อมเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน
การปกครองของโอซิริสและมเหสีที่มีชื่อว่า ไอซิส (Isis) ในประเทศอียิปต์ กลายเป็นความยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักกันไปทั้งโลก และในขณะนั้น โอซิริสก็มีความตั้งใจว่า พระองค์จะเผยแพร่อารยธรรมของพระองค์ให้ก้าวไกลไปทั่วโลก
แต่เนื่องจากพระองค์เป็นคนที่เกลียดความรุนแรงเป็นทุนเดิม การเผยแพร่อารยธรรมของพระองค์ในครั้งนี้ จึงไม่ได้มีการใช้กำลังทางทหารเลย พระองค์ทรงใช้แต่เพียงเวทมนตร์ของดนตรีและบทเพลงของพระองค์ในการเผยแพร่อารยธรรมเท่านั้น ในท้ายที่สุด โอซิริสก็สามารถเผยแพร่ความเจริญของอารยธรรมตนให้กับส่วนต่างๆ ของโลกจนครบ
ส่วนในประเทศอียิปต์ตอนที่โอซิริสไม่อยู่นั้น ราชินีไอซิสก็ได้รับงานสานต่อจากพระสวามี โดยนางได้มีการสอนผู้หญิงอียิปต์ให้รู้จักการปั่นด้ายและทอผ้า ส่วนผู้ชายก็สอนให้รู้จักการรักษาคนป่วย ไอซิสได้คิดค้นพิธีการแต่งงาน ซึ่งทำให้ผู้หญิงและผู้ชายสามารถแบ่งปันความสุขและแรงงานระหว่างกันและกันได้
ภายใต้การปกครองของโอซิริสและไอซิสนั้นดูเหมือนจะมีแต่ความรุ่งเรืองและเต็มไปด้วยสันติสุข แต่จริงๆแล้วนั้นยังมีเซท (Set) ผู้เป็นน้องชายทรยศของโอซิริสอยู่อีก ซึ่งเขาผู้นี้เป็นผู้ที่ทำให้ยุคทองที่มีค่านี้ต้องล่มสลายลงไป
เซทได้รวบรวมบุคคลที่มีจิตใจริษยาพยาบาทให้เข้าพวกกันเป็นจำนวนมาก และต่างพากันคิดหาอุบายขึ้นมาเพื่อฆ่าโอซิริส จนสุดท้ายก็สำเร็จ พวกเขาได้จัดการเอาพระศพของโอซิริสยัดใส่โลง แล้วเอาไปถ่วงลงในแม่น้ำไนล์ แต่ทว่าโลงพระศพกลับลอยออกไปทางปากแม่น้ำและออกสู่ทะเลจนไปเกยขึ้นที่ฝั่งฟีเนียเซียแทน
ฝ่ายราชินีไอซิสผู้โศกเศร้าก็พยายามหาวิธีเพื่อติดตามหาพระศพของพระสวามี จนในที่สุดก็สามารถพบและได้ช่วยชุบชีวิตของพระองค์จนฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้
เพราะความผิดพลาดที่พระองค์ไม่ปรารถนาที่จะใช้กำลังรุนแรง จึงทำให้พระองค์ผิดพลาดครั้งใหญ่อีกครั้ง เนื่องจากพระองค์ตัดสินใจไม่ลงโทษเซท แตกลับยังทรงปล่อยเอาไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามต่อไป ในไม่ช้า เซทก็พยายามวางแผนฆ่าพระองค์อีกครั้ง แต่คราวนี้ได้สับพระศพของพระองค์ออกเป็นส่วนๆ ถึงสิบสี่ชิ้น และคาดว่าคราวนี้คงจะไม่สามารถชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างแน่นอน จากนั้นเซทก็นำเอาชิ้นส่วนเหล่านี้ไปโปรยจนทั่วอียิปต์
เมื่อไอซิสรู้เข้า ก็เกิดความเศร้าเสียใจยิ่งนัก นางจึงพยายามที่จะติดตามหาชิ้นส่วนของพระสวามีตามสถานที่ต่างๆเพื่อนำกลับมาประกอบเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง อีกทั้งยังคิดค้นเทคนิคการดองศพเพื่อที่จะชุบชีวิตของโอซิริสขึ้นมาให้ได้เป็นครั้งที่สอง
แต่เนื่องจากคราวนี้ โอซิริสกลับได้รับการเลือกให้เป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งความตายนิรันดร์ ทำให้แม้ว่าไอซิสจะสามารถตามหาชิ้นส่วนของพระองค์จนครบ พระองค์ก็ไม่อาจคืนชีพมาปกครองอียิปต์ในรูปของมนุษย์ได้อีกต่อไปอียิปต์ในความดูแลของพระองค์จึงเหลือแต่เพียงเรื่องของการอำนวยผลแห่งความอุดมของดินและสายน้ำ ที่เป็นแหล่งก่อกำเนิดชีวิตของแม่น้ำไนล์เท่านั้น
ส่วนเซทผู้ริษยา ที่ฆ่าพี่ชายของตนจนโอซิริสกลายเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งความตายนิรันดร์ไปแล้ว ก็ยังไม่ลดละความริษยาลงเลยแม้แต่น้อย แต่ยังคงจ้องจะตามล้างตามผลาญ ด้วยการนำเอาความแห้งแล้ง และพายุทรายมารบกวนอียิปต์อยู่ตลอดเวลา
ส่วนไอซิสก็กลายเป็นราชินีหม้าย ที่เต็มไปด้วยความเศร้ากับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพระสวามี นางจึงมีชะตากรรมสุดท้ายที่ไร้ความสุข และเมื่อโอรสของพระองค์กับโอซิริส ที่ชื่อว่า โฮรัส (Horus) ประสูติออกมา โฮรัสก็คิดที่จะแก้แค้นเซทให้แก่บิดาของตน แต่พระนางก็ทรงห้ามไว้ เพราะไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงขึ้นตามนโยบายของพระสวามี แต่คราวนี้โฮรัสเกิดบันดาลโทสะจนฟาดดาบตัดศีรษะของพระมารดา จนนางสิ้นใจลงทันที
พระนางไอซิสที่สิ้นชีพไปแล้ว ก็กลายไปเป็นเทวีที่ช่วยให้คนตายได้ไปพบกับโอซิริส ดังนั้น คนดีคนไหนที่กำลังจะตาย ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร เพราะเทวีคู่นี้จะเป็นผู้นำทางคุณให้ไปสู่นิรันดร์กาล…

เพอร์ซุส (perseus) วีรบุรุษแห่งกรีก ผู้สังหารเมดูซา

เพอร์ซุส วีรบุรุษแห่งกรีกที่แสนโด่งดังและเป็นที่รู้จักไปทั่วอีกท่านหนึ่ง ที่แม้จะไม่ได้มีกำลังเหมือนดั่งเฮอร์คิวลิส แต่ก็เป็นลูกครึ่งเทพเจ้าไม่ต่างกัน แต่พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่แสนแปลกประหลาด ก็คือ เพอร์ซุสเป็นทวดของเฮอร์คิวลิส ซึ่งมีผลทำให้เฮอร์คิวลิสมีพลังอำนาจอันมหาศาล เนื่องด้วยการมีเชื้อจอมเทพมาจากทั้งฝ่ายบิดาและมารดา ผู้คนมากมายจึงขนานนามเพอร์ซุสว่า “เพอร์ซุสผู้สังหารเมดูซา” ซึ่งเมดูซาถือเป็นอสูรร้ายที่น่าเกรงกลัวมาก และมีความสามารถในการสาบคนให้กลายเป็นหินได้ด้วยการสบตา
ตำนานเล่าเรื่องของเพอร์ซุสไว้ว่า เพอร์ซุสเป็นพระโอรสของเทพซีอุสและมนุษย์ธรรมดาที่มีชื่อว่า “ดาเนีย” ซึ่งที่มาของการรู้จักกันของเทพและคนธรรมดาคู่นี้เกิดมาจากตอนที่ท้าวอะคริสิอัสผู้เป็นกษัตริย์แห่งเมืองอาร์กอสและเป็นพระราชบิดาของเจ้าหญิงดาเนีย ได้เข้ารับคำทำนายโดยนักบวชแห่งวิหารเดลฟีว่า  “เจ้าจะต้องตายด้วยบุตรชายแห่งธิดาเจ้า” ซึ่งจากที่ได้ฟังคำทำนายเช่นนั้น ท้าวอะคริสิอัสก็เกิดความกลัวมาโดยตลอดว่าวันใดวันหนึ่งพระองค์อาจจะต้องตายตามที่เคยถูกทำนานไว้แน่ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงพยายามป้องกันไม่ให้เจ้าหญิงดาเนียได้แต่งงานกับใคร โดยการกักขังตัวเจ้าหญิงเอาไว้บนหอคอยสูง เพื่อเจ้าหญิงจะไก้ไม่มีโอกาสไปสร้างความสัมพันธ์กับชายคนไหนจนเกิดเป็นลูกออกมา แต่พระองค์ก็ไม่สามารถฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้ เมื่อเทพซีอุสเกิดตกหลุมรักเจ้าหญิงดาเนียเข้า และลงมาร่วมภิรมย์สุขสมจนเจ้าหญิงตั้งครรภ์ในที่สุด และเจ้าหญิงก็ได้ให้กำเนิดเป็นพระโอรสออกมา
เมื่อท้าวอะคริสิอัสทราบความดังนั้น ก็สั่งให้จับเจ้าหญิงดาเนียและพระโอรสใสหีบ แล้วนำไปลอยทิ้งทะเล แต่บังเอิญที่หีบใบนี้ได้ขึ้นไปเกยตื้นที่เกาะเซอริฟัส ทำให้เจ้าหญิงและพระโอรสได้รับความช่วยเหลือจากดิคทิส ผู้เป็นหัวหน้าชาวประมงแถบนั้น และเป็นพระเชษฐาแห่งกษัตริย์โพลิเดคทิส ดิคทิสตัดสินใจมอบตัวเจ้าหญิงและพระโอรสให้ท้าวโพลิเดคทิสช่วยอุปถัมภ์ จนในที่สุด พระโอรสก็เติบใหญ่ขึ้นเป็นหนุ่มรูปงาม ที่มีชื่อว่า “เพอร์ซุส” ตลอดเวลา ท้าวโพลิเดคทิสแอบหลงรักในตัวของเจ้าหญิงดาเนียมานานแสนนาน แต่มีถูกเพอร์ซุสคอยขัดขวางเสมอ พระองค์จึงคิดจะกำจัดเพอร์ซุส จึงรับสั่งให้เพอร์ซุสไปตัดหัวของเมดูซามาให้จงได้  ซึ่งเพอร์ซุสก็ยิมยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี
เพอร์ซุสเดินทางออกไปทางทิศตะวันตก ตามคำบอกเล่าของท้าวโพลิเดคทิสที่บอกไว้ว่า ปีศาจร้ายเมดูซาอยู่บริเวณสุดขอบโลกทางทิศตะวันตก แต่เมื่อเพอร์ซุสเดินทางไปยังทิศตะวันตกไม่ทันไร ก็พบว่ามีทะเลมาขว้างกั้น แต่สวรรค์ก็ช่วยเหลือ เพราะเทพซีอุสผู้เป็นบิดาได้สั่งให้เทพฮาเดส เทพีอธีน่า และเทพเฮอร์เมส ลงไปช่วยเหลือเพอร์ซุสให้ทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จให้ได้ เทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์จึงได้ประทานของวิเศษพระองค์ละชิ้นให้แก่เพอร์ซุส ดังต่อไปนี้ เทพฮาเดสประทานหมวกนักรบที่ประดับด้วยขนนกเป็นพู่สวยงาม เทพีอธีน่าประทานโล่ไว้เป็นเกาะกำบัง และเทพเฮอร์เมสประทานเกือกติดปีกไว้สำหรับเหาะเดินทาง
จากนั้นเพอร์ซุสก็ได้ถามเทพเจ้าทั้ง 3 ไปว่าปีศาจเมดูซาอยู่ที่แห่งหนไหน ซึ่งเทพีอธีน่าได้ตอบไปว่า “พวกเราเหล่าทวยเทพไม่รู้หรอกว่าเทพีอธีน่าอยู่ที่ใด มีเพียงกลุ่มเทพีกราเอีย 3 พี่น้องเท่านั้นที่รู้ว่าปีศาจตัวนี้อยู่ที่ไหน” เพอร์ซุสจึงถามต่อไปว่า “แล้วพระองค์และเทพี 3 พี่น้องกราเอียอยู่ที่ไหนล่ะ” และได้รับคำตอบกลับมาว่า “เจ้าจงใช้เกือกติดปีกที่ข้าให้ไป เหาะไปยังเกาะกลางทะเลแล้วเจ้าจะพบกับพี่น้องเทพีกราเอียเอง” เทพเฮอร์เมสกล่าว ส่วนเทพฮาเดสก็กล่าวอวยพรสั้นๆว่า “ขอให้เจ้าทำภารกิจนี้สำเร็จ”
เพอร์ซุสจึงกล่าวลาและกล่าวขอบคุณเทพเจ้าทั้งสามที่ช่วยเหลือ จากนั้นเพอร์ซุสก็ใช้เกือกติดปีกของเทพเฮอร์เมสบินมาจนมาพบกับเกาะที่อยู่ของเทพีกราเอีย 3 พี่น้อง เพอร์ซุสได้พบกับเทพีผู้แสนน่าสงสารที่ตาบอดเกือบทุกพระองค์ และหลงเหลือเพียงดวงตาดวงเดียวที่ใช้ร่วมกันเท่านั้น เพอร์ซุสได้ขโมยดวงตาแห่งเทพีกราเอียมา เพื่อหวังที่จะหลอกถามถึงที่อยู่ของปีศาจเมดูซา ทำให้เหล่าเทพีต้องยอมบอกทางเพื่อแลกกับการได้ดวงตาคืนมา เพอร์ซุสจึงสามารถเดินทางไปจนถึงเกาะอันเป็นที่อยู่ของเมดูซาได้สำเร็จ
ที่เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยรูปแกะหินเหมือนรูปคนจริง ที่อยู่ในท่าทางต่างๆ ซึ่งล้วนมองดูน่ากลัวและน่าสงสารเป็นอย่างมาก หินทุกก้อนล้วนเคยเป็นมนุษย์ที่มีลมหายใจทั้งสิ้น แต่ต้องมาถูกปีศาจเมดูซาสาบให้แข็งกลายเป็นหินเช่นนี้ จากนั้น เพอร์ซุสก็ลอบเข้าไปยังปราสาทของเมดูซา แต่เพอร์ซุสก็ไม่กล้ามองตาเมดูซาตรงๆ เพราะกลัวว่าจะถูกสาบกลายเป็นหิน ดังนั้น เขาจึงพยายามดูเงาที่สะท้อนมาจากโล่แทน เมื่อเขาพบกับเมดูซา เพอร์ซุสก็ได้เด็ดหัวมันมาจนได้ และได้นำเอาหัวเมดูซ่าเหาะกลับมาสู่เกาะเซอริฟัส แต่บางตำนานก็กล่าวไว้ว่า หลังจากที่เพอร์ซุสตัดหัวเมดูซาได้แล้ว ก็ได้พบกับม้ามีปีก ที่มีชื่อว่า “ปีกาซัส” โดยบังเอิญ ซึ่งสิ่งมหัศจรรย์นี้ล่องลอยออกมาจากคอของเมดูซานั่นเอง ซึ่งถือเป็นบุตรที่เมดูซาตั้งครรภ์เอาไว้ในครั้งที่มีความสัมพันธ์กับเทพโพไซดอนตั้งแต่ตอนที่เมดูซายังเป็นนางพรายงดงามก่อนที่จะถูกสาปให้เป็นปีศาจร้ายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ระหว่างทางกลับ เพอร์ซุสถูกพายุพัดจนเข้ามาถึงอุทยานสวรรค์แห่งเทพเจ้าที่มีเทพแอตลาสคอยแบกสวรรค์เอาไว้  เพอร์ซุสหวังจะมาพักผ่อนหลังจากที่ความเหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้กับเมดูซ่า แต่เพอร์ซุสก็กลับถูกเทพแอตลาสขับไล่ ทำให้เพอร์ซุสเกิดความโมโหและชูศีรษะของเมดูซาให้เทพแอตลาสดู เมื่อเทพแอตลาสสบตากับหัวเมดูซาก็ถูกสาบกลายเป็นหินไป จนเป็นที่มาภูเขาแอตลาสที่อยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกานั่นเอง
เพอร์ซุสเดินทางต่อจนผ่านทะเลทรายซาฮาร่า และบังเอิญทำเลือดจากศีรษะของเมดูซาหยดไหลลงไปตามทาง ซึ่งเลือดหยดนั้นก็บังเกิดมาเป็นงูพิษที่อาศัยในทะเลทรายในเวลาต่อมา
เพอร์ซุสเดินทางต่อไปจนถึงกรุงเอธิโอเปีย ซึ่งปกครองโดยท้าวเซฟฟิฟัส ที่นี่ทำให้เขาต้องตกใจกับเหตุการณ์ที่เห็นตรงหน้าอย่างมาก เมื่อมีสาวงามถูกตรึงเอาไว้กับโขดหินโดยมีสัตว์ประหลาดจากท้องทะเลเข้ามารุมพร้อมจะกินนาง ด้วยเหตุนี้ เพอร์ซุสจึงตัดสินใจฆ่าสัตว์ประหลาด เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือหญิงสาวผู้นั้น ในภายหลัง เพอร์ซุสจึงได้ทราบความจริงว่า หญิงสาวผู้นี้ก็คือ เจ้าหญิงอันโดเมดร้า ผู้เป็นพระธิดาแห่งท้าวเซฟฟิฟัส ท้าวเซฟฟิฟัสกล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เจ้าหญิงต้องมาตกเป็นอาหารของปีศาจร้ายว่า
“เพราะพระมเหสีคัสสิโอเปีย เคยกล่าวดูหมิ่นเหล่านางพรายนีเรียดส์ทั้ง50นาง ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือ เทพีอัมฟิตริตีผู้เป็นราชินีแห่งเทพโพไซดอน เมื่อพระองค์พิโรธ จึงได้ลงโทษโดยการส่งสัตว์ร้ายจากท้องทะเลขึ้นมาอาละวาดจับชาวบ้านกิน ทำให้จำเป็นต้องส่งสาวพรหมจรรย์มาสังเวยให้แก่มันในทุกปี และครั้งนี้ก็ถึงคราวของเจ้าหญิงอันโดรเมดร้าคนนี้แล้วล่ะท่าน”
ท้าวเซฟฟิฟัสพอพระทัยเป็นอย่างมากที่เพอร์ซุสได้ช่วยชีวิตของพระธิดาเอาไว้ จึงเต็มใจที่จะยกพระธิดาให้เป็นพระชายา เพอร์ซุสจึงได้อภิเษกกับเจ้าหญิงอันโดรเมดร้า และพาเจ้าหญิงกลับบ้านเมืองของพระองค์ หลังจากที่กลับไปถึงเกาะเซอริฟัส เพอร์ซุสตั้งใจจะนำเอาหัวของเมดูซาไปถวาย แต่เมื่อมาถึงกลับพบว่า พระมารดาของเจ้าหญิงดาเนียหนีได้หนีมาอยู่ที่บ้านของดิกทิส เนื่องจากถูกท้าวโพรเดคทิสลวนลาม เพอร์ซุสนึกแค้นเป็นอย่างมาก จึงได้เข้าเฝ้าและมอบหัวเมดูซาให้แก่ท้าวโพรเดคทิส โดยเพอร์ซุสได้ชูหัวเมดูซาให้หันหน้าไปทางพระองค์ ทำให้พระองค์เผลอสบตาเมดูซาเข้าอย่างจัง และกลายเป็นหินไปในทันที หลังจากนั้น เพอร์ซุสก็ยกเมืองแห่งนี้ให้ดิกทิสเป็นกษัตริย์ปกครองต่อไป ส่วนหัวของเมดูซาก็ได้นำมาประดับไว้ในโล่ของเทพีอธีน่า
หลังจากนั้น เพอร์ซุสก็ได้พาพระมารดาและเจ้าหญิงอันโดรเมดร้ากลับสู่เมืองอาร์กอส เพื่อหวังจะกลับไปเยี่ยมเสด็จตา และคาดว่าเสด็จตาจะไม่กลัวในคำทำนายอีกต่อไปแล้ว ซึ่งเมื่อท้าวอะคริสิอัสได้ทราบข่าวเท่านั้น ก็ได้ทรงหลบหนีไปอาศัยอยู่ที่เมืองลาริสซา ซึ่งเป็นเมืองของพระสหายเก่า เพอร์ซุสก็ได้ออกตามหาเสด็จตา จนเดินทางมาถึงเมืองลาริสซา
ที่เมืองลาริสซาในขณะนั้นกำลังมีการจัดงานกีฬารื่นเริง เพอร์ซุสจึงได้ลงแข่งขันในก๊ฬาขว้างจานเหล็ก (ควอยต์) ด้วย ซึ่งในขณะที่แข่งอยู่ เพอร์ซุสขว้างจานเหล็กแรงเกินไป จนไปถูกชายชราคนหนึ่งเสียชีวิตแบบไม่ตั้งใจ เมื่อเจ้าหญิงดาเนียมาถึงก็ทราบว่าชายชราคนนั้น คือ ท้าวอะคริสิคัส ซึ่งตรงกับคำทำนายที่เคยว่าไว้ทุกประการว่าพระองค์จะต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือของหลาน
ต่อมาเพอร์ซุสก็ได้ขึ้นครองเมืองอาร์กอส แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนักเพราะคิดว่าตนคือผู้ที่สังหารเสด็จตา และแย่งบัลลังก์มา พระองค์จึงตัดสินใจเดินทางออกไปสร้างเมืองใหม่ ที่มีชื่อว่า “ไมซีนี” และปกครองเมืองนี้ร่วมกับพระราชินีอันโดรเมดร้าอย่างมีความสุขเสมอมา

พระกฤษณะ

"พระกฤษณะ"
มหาเทพผู้แห่งความหลุดพ้น
ชี้ทางมนุษย์ไปสู่ความสุขสมบูรณ์ที่แท้จริง
ขอขอบพระคุณ :ตรีมูรติ อภิมหาเทพของฮินดู
อรุณศักดิ์ กิ่งมณี / สำนักพิมพ์ Museum Press

พระกฤษณะ เป็นอวตารหนึ่งของ พระวิษณุ
ในมหากาพย์เรื่อง "มหาภารตะ" ซึ่งเป็นหนังสือที่ยาวที่สุดในโลก
บรรจุไว้ซึ่งเรื่องราวต่างๆมากมาย
และมีคัมภีร์เล่มหนึ่งบรรจุไว้ด้วย นั่นคือ "คัมภีร์ภควัทคีตา"

พระกฤษณะ พระนางราธา ในเรื่องมหาภารตะ (ภาพจาก dollsofindia)

พระวิษณุมหาเทพ ผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาล ต้นอวตารแห่ง พระกฤษณะ

มหาสงคราม ณ ทุ่งกุรุเกษตร ในเรื่องมหาภารตะ

พระกฤษณะ เทพเจ้าผู้สำราญพระทัย ภาพจาก - dollsonindia.com 

อวตารของพระวิษณุครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงยุคที่สองของโลก
เนื้อเรื่องกล่าวถึง กษัตริย์อุครเสน (Ugrasena) ผู้ครอง เมืองมถุรา พระองค์เป็นกษัตริย์ทรงคุณธรรม เป็นที่รักใคร่ของประชาชนทั่วไป ทรงมีมเหสีคือ นางปวนะเรขา(Pavanarekha) ปกครองบ้านเมืองร่วมกันอย่างมีความสุข
วันหนึ่งพระนางปวนะเรขาเสด็จประพาสป่า ถูกอสูรตนหนึ่งแปลงร่างเป็นกษัตริย์อุครเสนมาร่วมเสพสม ครั้งต่อมาอีกสิบเดือนจึงบังเกิดโอรส นามว่า “กังสะ” (Kansa) กษัตริย์อุครเสนทรงหลงคิดว่ากังสะเป็นโอรสของพระองค์
กังสะเมื่อเติบโตก็เริ่มแสดงออกถึงความชั่วร้าย เช่น ไม่เคารพบิดา สังหารเด็กอื่นๆ ตลอดจนใช้กำลังขู่บังคับเอาธิดาทั้งสององค์ของ กษัตริย์ชราสันธ์ (Jarasandha) แห่ง เมืองมคธ มาเป็นชายาของตน และสุดท้ายก็จับตัวกษัตริย์อุครเสนไปคุมขังไว้ จากนั้นจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แทน นอกจากนี้ยังขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง
และที่สำคัญ กังสะ สั่งประกาศห้ามผู้คนไม่ให้ประกอบพิธีเคารพบูชา พระวิษณุ!!
พระวิษณุมหาเทพ ทรงทอดพระเนตรเห็นความเดือดร้อนของมนุษย์และทวยเทพ จึงตัดสินพระทัยอวตารลงไปปราบอสูร
โดยทรงพระดำริว่าควรไปจุติเป็นบุตรของ นางเทวากี (ธิดาองค์ที่เจ็ดของพระเจ้าเทวากา ลุงของพญากังสะ) กับ วสุเทวะ (Vasudeva)
พระวิษณุทรงถอนเส้นพระเกศาดำของพระองค์ และเส้นผมขาวของพญานาคอนันตะ (เศษะนาค) ส่งไปยังครรภ์ของนางเทวากี
เส้นผมขาวของเศษะนาคบังเกิดเป็นบุตรคนที่เจ็ด นามว่า “พลราม”ส่วนเส้นพระเกศาดำของพระองค์บังเกิดเป็นบุตรคนที่แปด นามว่า “กฤษณะ”

พระกฤษณะ ในวัยเยาว์

ย้อนเหตุการณ์ไปครั้งเมื่อมีงานแต่งงานระหว่างนางเทวากีกับวสุเทวะนั้น มีเสียงดังมาจากเบื้องบนเตือนพญากังสะว่า
พระองค์จะถูกประหารโดยบุตรของนางเทวากี พญากังสะจึงคิดสังหารนางเทวากี
แต่วสุเทวะสัญญาว่าจะนำลูกของตนที่เกิดกับนางเทวากีทั้งหมดมามอบให้พญากังสะเมื่อนางเทวากีคลอดบุตรหกคนแรกออกมา วสุเทวะก็รักษาสัญญาโดยนำมาให้กับพญากังสะ และถูกสังหารทั้งหมด
จนกระทั่งนางเทวากีใกล้จะให้กำเนิดบุตรคนที่เจ็ด ก็มีเสียงเตือนพญากังสะจากเบื้องบนเป็นครั้งที่สองว่า
ผู้ที่เกิดมาเป็นคนเลี้ยงโค จะเป็นผู้ประหารพระองค์ พญากังสะจึงออกคำสั่งให้สังหารคนเลี้ยงโคทุกคนที่พบ
ฝ่ายนันทะ (Nanda) คนเลี้ยงโคซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของวสุเทวะตัดสินใจช่วยวสุเทว
โดยให้วสุเทวะส่งภรรยาอีกคนหนึ่ง คือ นางโรหินี (Rohini) ไปอยู่กับนันทะ จากนั้นพระวิษณุก็ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจสับเปลี่ยนเอาบุตรในครรภ์ของนางเทวากีไปใส่ในครรภ์ของนางโรหินีแทน
และถือกำเนิด พระพลราม โดยพญากังสะคิดว่าบุตรของนางเทวากีเสียชีวิตในครรภ์มารดาไปแล้ว
ส่วนบุตรคนที่แปด หรือ พระกฤษณะ นั้น วสุเทวะได้สับเปลี่ยนโดยนำเอาบุตรีของนันทะกับนางยโสดา (Yasoda) ไปมอบให้พญากังสะ
เมื่อพญากังสะรับมาก็ขว้างใส่ก้อนหิน แต่ปรากฎว่าทารกนั้นกลับกลายร่างเป็นเทพธิดาเหาะขึ้นไปบนฟ้า และกล่าวกับพญากังสะว่า
บัดนี้ผู้ที่จะสังหารพญากังสะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว!!!



กฤษณะเติบโตท่ามกลางหมู่คนเลี้ยงโค
แค่เพียงในช่วงขวบปีแรกก็มีอสูรถึง 3 ตนพยายามทำร้ายพระองค์

ครั้งแรกเป็น อสูรปุตนะ (Putana) แปลงร่างเป็นหญิงสาวมาให้นมพระกฤษณะ โดยใส่ยาพิษไว้ในนม
แต่พระกฤษณะรู้ทัน จึงดูดนมจน อสูนปุตนะ สิ้นชีพ
ครั้งที่สองเป็น อสูรศักตาสูร (Saktasura) มีฤทธิ์สามารถบินได้
วางแผนจะใช้กำลังลากรถบรรทุกภาชนะเหยือกน้ำให้ไปทับร่างพระกฤษณะที่นอนหลับอยู่แต่ไม่สำเร็จ
ส่วนครั้งที่สามเป็น อสูรตรีนะวัตร (Trinavasta) แสดงฤทธิ์เป็นลมหมุน
หมายจะพัดร่างของพระกฤษณะให้ตกลงมาจากตักของนางยโสดา แต่ไม่บังเกิดผล
กลับถูกพระกฤษณะจับเหวี่ยงทุ่มใส่ก้อนหิน ทำให้พายุสงบลง



ชีวิตในวัยเด็กของพระกฤษณะต้องต่อสู้กับอสูรที่พญากังสะส่งมาหลายครั้ง เนื่องจากพญากังสะต้องการกำจัดเด็กที่มีพลังอำนาจสามารถสังหารตนได้ อสูรที่มาทำร้ายก็มี..
อสูรวัตสาสูร (Vatsasura) ปรากฎในร่างโค
อสูรบากาสูร (Bagasura) ปรากฎในร่างนกกระเรียนพยายามกลืนร่างพระกฤษณะ แต่ในที่สุดพระกฤษณะก็ปราบได้
อุกราสูร (Ugrasura) ปรากฎในร่างงู เข้ามากลืนร่างพระกฤษณะลงไปในท้อง แต่ในที่สุดพระกฤษณะก็ฉีกร่างอสูรออกมาได้
นอกจากนี้ พระกฤษณะก็ได้สังหาร อสูรเธนุกา (Dhenuka) และสั่งสอน นาคกาลิยะ (Kaliya) ให้สำนึกผิดด้วย
ส่วนพระพลรามผู้พี่ก็ได้ปราบอสูรต่างๆเช่น อสูรประลัมพ์ (Pra-lamba) ซึ่งเป็นอสูรที่ปรากฎในร่างคน เป็นต้น

พระกฤษณะ และ พระพลราม

ชีวิตในวัยหนุ่มของพระกฤษณะผ่านประสบการณ์มากมาย โดยเฉพาะการโน้มน้าวให้คนเลี้ยงโคเลิกเซ่นบวงสรวง พระอินทร์
โดยให้ไปบูชาภูเขาโควรรธนะแทน ทำให้พระอินทร์พิโรธ บันดาลให้เกิดพายุ ฝนตกหนักตลอดทั้งเจ็ดวันเพื่อเป็นการลงโทษ
แต่พระกฤษณะใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวยกภูเขาโควรรธนะขึ้นกำบังฝูงคนเลี้ยงโคเอาไว้
กระทั่งท้ายที่สุด พระอินทร์ได้ทรง ช้างไอราวตะ พร้อมกับ แม่วัวสุรภี ลงมาเคารพพระกฤษณะ
ในเรื่องความรัก เมื่อพระกฤษณะเติบโตเป็นหนุ่ม ก็เป็นที่หมายปองของเหล่า นางโคปี (ภรรยาคนเลี้ยงโค) ทั้งหลาย
วันหนึ่ง ขณะที่เหล่าโคปีกำลังอาบน้ำที่ แม่น้ำยมุนา และต่างขอพรให้ตนได้สมปรารถนาในรัก
พระกฤษณะได้มาขโมยเสื้อผ้าของพวกนางและหนีไปซ่อนอยู่บนต้นไม้ จากนั้นพระกฤษณะก็เรียกนางโคปีที่เปลือยกายให้ขึ้นจากน้ำ
เพื่อมารับเสื้อผ้าคืน เมื่อได้หยอกล้อเหล่าโคปีแล้ว พระกฤษณะก็สัญญาว่า พระองค์จะไปเต้นรำร่วมกับเหล่านางโคปีในฤดูใบไม้ร่วงครั้งหน้า
ครั้นถึงฤดูใบไม้ร่วงในคืนที่แสงจันทร์สว่างไสว พระกฤษณะได้เป่าขลุ่ยเรียกเหล่านางโคปีเหล่านั้นให้แอบหนีสามีที่กำลังหลับเข้ามาในป่า
จากนั้นก็ได้เต้นรำกัน นางโคปีทุกคนต่างรู้สึกเคลิบเคลิ้มเหมือนว่าตนได้เต้นรำกับพระกฤษณะในลักษณาการของคู่รัก
การเต้นรำนี้ยาวนานถึงหกเดือน จากนั้นทั้งหมดก็ได้ไปอาบน้ำที่แม่น้ำยมุนาร่วมกัน เมื่อนางโคปีกลับบ้านก็จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในบรรดานางโคปีทั้งหมด มีหญิงคนหนึ่งที่ถือเป็นคู่รักคนสำคัญของพระกฤษณะ
นางมีนามว่า “ราธา” (พระแม่ราธาเทวี คู่รักพระกฤษณะ)มีบทบรรยายถึงความรักระหว่างคนทั้งสองอยู่มากมาย


พระกฤษณะ และ พระนางราธาเทวี


พระกฤษณะ และเหล่านางโคปี

ฝ่ายพญากังสะยังไม่สิ้นความพยายามที่จะสังหารพระกฤษณะ ได้ส่ง อสูรสังกาสูร (Sankhasura)เข้ามาทำร้ายนางโคปีที่มาอยู่กับพระกฤษณะและพระพลราม พระกฤษณะได้เข้าต่อสู้และตัดหัวของสังกาสูรได้สำเร็จ
ในคืนต่อมาก็มีอสูรวัวเข้ามาทำร้ายอีก ซึ่งก็ถูกพระกฤษณะจับหักคอจนสิ้นชีพ
โหราจารยฺ์ของพญากังสะทำนายว่า พระกฤษณธจะมาสังหารพญากังสะ พญากังสะจึงจับตัวนางเทวากีและวสุเทวะจองจำไว้
พร้อมกับวางแผนสังหารพระกฤษณะอีก โดยเชิญให้เข้ามาในเมืองมถุรา
และได้ส่งอสูรรูปม้าชื่อ "เกศิน" (Kesin) ไปลอบทำร้ายระหว่างทาง แต่ก็ถูกพระกฤษณะเอากำปั้นยัดใส่ปากจนสิ้นชีพ
นอกจากนี้ ยังส่งอสูรหมาป่าที่แปลงร่างเป็นขอทานมาทำร้าย แต่พระกฤษณะก็ล่วงรู้กลอุบายและปราบได้สำเร็จ
หลังจากนั้น พญากังสะได้ให้อำมาตย์เอกนาม อกุระ (Akrura) เชื้อเชิญพระกฤษณะเข้าไปในเมืองแต่อกุระเป็นผู้ที่ภักดีต่อพระกฤษณะ
จึงเล่าความจริงเกี่ยวกับแผนร้ายของพญากังสะว่า พญากังสะต้องการลวงพระกฤษณะไปสังหารในเมือง

พระกฤษณะต่อสู้กับนักมวยปล้ำ

พระกฤษณะและพลรามเดินทางเข้าไปในเมือง ทำลายธนูของศิวะ สังหารคนเฝ้าประตูเมือง จากนั้นปราบช้างกุวัลยปิยะ
และต่อสู้กับนักมวยปล้ำจาณูระและมุสติกะ ท้ายที่สุด พระกฤษณะได้ลากตัวพญากังสะลงมาจากบัลลังก์ และใช้กำปั้นทุบจนสิ้นชีพ
จากนั้นก็ได้มอบราชสมบัติคืนให้กษัตริย์อุครเสนตามเดิม โดยพระกฤษณะอาศัยอยู่กับนางเทวากีระยะหนึ่ง
พระกฤษณะได้ปราบอสูรอีกหลายครั้ง ในที่สุด พระองค์ก็ได้ออกไปหาทำเลสร้างเมืองใหม่
โดยให้พระวิศวกรรมเนรมิตเมืองให้เสร็จภายในคืนเดียว จากนั้นย้ายตระกูลยาฑพออกไปยังเมืองใหม่ นามว่า "ทวารกา"เมื่อย้ายมาอยู่เมืองทวารกาแล้ว พระกฤษณะก็ออกเสาะแสวงหาชายาให้กับพระองค์เองและพระพลราม
พระพลรามได้แต่งงานกับ นางเรวาตี (Revati) ส่วนพระกฤษณะเข้าพิธีแต่งงานกับ นางรุกมินี (Rukmini)
แต่ก่อนหน้านั้น ก็ต้องต่อสู้กับ "รุกมา"และ "สีสุปาละ" พี่ชายของนางรุกมินี ซึ่งเป็นญาติของพระกฤษณะ และหมายปองนางรุกมินีเช่นกัน
หลังการแต่งงาน พระกฤษณะก็ยังต่อสู้กับอสูรอื่นๆ อีกมากมาย และได้ชายามาอีก 7 องค์ เช่น
นางชามภวาตี (Jambavati) บุตรีของชามภูวาล ผู้เป็นกษัตริย์แห่งหมี นางสัตยภามา (Satyabhama) ธิดาของสัตราชิต
นางกัลลินดิ (Kalindi) ธิดาของพระอาทิตย์ และชายาอีก 4 องค์จากการปราบปรามอสูรตนอื่นๆ



ภารกิจสำคัญอีกครั้งหนึ่งคือการปราบ นาระกะ (Naraka) ซึ่งเป็นกษัตริย์ของ ปักโยทิชา (Pragiyotisha)
นาระกะได้รับพรจากมหาเทพทั้งสามให้เป็นผู้ที่ไม่มีใครเสมอเทียมได้ สร้างเดือดร้อนแก่เหล่าเทวดา
ถึงขั้นไปยึดเอาตุ้มหูของนางอทิติ(ผู้เป็นมารดาของเหล่าเทพ)
จากนั้นก็ไปยึดเอามงกุฏของพระอินทร์มาสวมใส่และยึดนางอัปสร ๑๖,๐๐๐ องค์ไปจากสวรรค์
ท้ายที่สุดยังแปลงร่างเป็นช้างไปข่มขืนธิดาของ พระวิศวกรรม ด้วย
พระกฤษณะได้บุกไปยังเมืองของนาระกะ ปราบอสูรตนนี้ จากนั้นจึงนำสิ่งของที่ถูกยึดคืนกลับไปให้เจ้าของ
ส่วนนางอัปสรทั้งหมดนั้น พระองค์นำกลับไปยังเมืองทวารกา และแต่งงานกับทุกนาง (พระกฤษณะมีชายาทั้งหมด ๑๖,๑๐๘ นาง)
ความที่มีชายามากมายจึงเกิดเรื่องราวอยู่หลายครั้ง
เช่น ครั้งหนึ่งพระกฤษณะมอบดอกปาริชาต (ดอกไม้สวรรค์ที่เกิดจากการกวนเกษียรสมุทร
พระอินทร์เป็นผู้ดูแลรักษาไว้ในเขตของสวรรค์ของพระองค์) แก่นางรุกมินี ปรากฎว่านางสัตยภามาก็ต้องการบ้าง
พระกฤษณะจึงบุกขึ้นไปบนสวรรค์ของพระอินทร์เกิดสู้รบกัน ในที่สุดพระกฤษณะนำต้นปาริชาตมาไว้ยังเมืองทวารกาได้สำเร็จ
แต่หลังจากนั้นหนึ่งปีก็คืนให้พระอินทร์นำไปปลูกไว้ที่เดิม


มหาสงคราม ณ ทุ่งกุรุเกษตร
ในมหาสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ที่รู้จักกันในนาม “มหาภารตยุทธ” ซึ่งรจนาเป็นมหากาพย์ในชื่อ “มหากาพย์มหาภารตะ”อันเป็นสงครามระหว่าง ตระกูลปาณฑพ กับ ตระกูลเการพ นั้น พระกฤษณะเป็นสารถีให้ ฝ่ายปาณฑพ และสอน ท้าวอรชุน
(หนึ่งในห้าของพี่น้องตระกูลปาณฑพ) ไว้ใน “ภัควัตคีตา” วรรณคดีอันมีชื่อเสียง
ท้ายที่สุดฝ่ายตระกูลปาณฑพก็มีชัยในสงครามครั้งนี้


เมื่อได้เวลาอันสมควร ก็ถึงกาลที่พระกฤษณะจะกลับไปยังไวกูณฐ์สถานของพระองค์
เหตุการณ์มีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง หมู่กษัตริย์ยาฑพเมาสุรา ทะเลาะวิวาทปลงพระชนท์กันเอง พระกฤษณะพยายามห้ามปราม แต่ก็ไม่เป็นผล
พระองค์จึงหลบหนีเข้าไปในป่า บังเอิญขณะนั้น มีพรานป่าออกล่าสัตว์ พรานผู้นั้นสำคัญผิดว่า
พระกฤษณะเป็นสัตว์จึงยิงพระองค์ด้วยธนูถูกที่ "ข้อเท้า" อันเป็นจุดชีวิตของพระกฤษณะ จนสิ้นพระชนม์
ส่วนพระพลรามสิ้นพระชนม์ใกล้ชายฝั่งทะเล กลับไปเป็นเศษะนาคอันเป็นร่างเดิมและคืนกลับสู่เกษียรสมุทร
เมื่อข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระกฤษณะล่วงรู้ไปถึงในเมือง พระวสุเทวะ นางเทวากี ตลอดจนนางโรหินีก็สิ้นพระชนม์ตามไปด้วย
จากนั้นไม่นานก็เกิดน้ำท่วมใหญ่จนเมืองทวารกาจมหายไปในที่สุด
รูปเคารพพรกฤษณะค่อนข้างมีรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งนี้เนื่องจากพระองค์ทรงมีประวัติยาวนาน
จึงมีภาพสลักเรื่องราวแสดงเหตุการณ์สำคัญหลายตอน

ขอขอบพระคุณ : ตรีมูรติ อภิมหาเทพของฮินดู
อรุณศักดิ์ กิ่งมณี / สำนักพิมพ์ Museum Press


ภาพบูชาพระกฤษณะ การสังเกตุว่าเป็นพระกฤษณะมีวิธีง่ายๆคือ พระองค์จะทรงขลุ่ย ขนยกยูงทัดที่ผม มีโคเป็นบริวาร
การบูชาพระกฤษณะ

นิกายพระกฤษณะ ได้แพร่กระจายออกไปยัง ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีชาวตะวันตกนับถืออยู่มากมาย
เนื่องจากในเรื่อง มหาภารตะ ได้มีคัมภีร์ ภควัทคีตา บรรจุอยู่ คัมภีร์นี้เองเป็นสิ่งที่ชาวตะวันตกให้ความสนใจศึกษากันมากมาย
ปัจจุบันถือว่า คัมภีร์ภควัทคีตา เป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ฮินดูที่แพร่หลายมากที่สุด (แพร่หลายมากกว่าคัมภีร์พระเวททั้งสี่)
เนื่องจากสมัยโบราณ คัมภีร์พระเวท เป็นสิ่งที่คนวรรณะอื่นห้ามอ่านนอกจากวรรณะพราหมณ์เท่านั้น พระเวทจึงค่อยๆลดบทบาทลง
แต่ภควัทคีตาเป็นสิ่งที่พราหมณ์ในนิกายที่นับถือพระกฤษณะสั่งสอนให้ผู้คนศึกษา เพื่อนำมาปรับใช้ในชีวิต จึงเข้าถึงผู้คนได้กว้างขวาง
การกราบไหว้บูชาพระกฤษณะ จึงไม่สามารถกราบไหว้อย่างเดียวหรือถวายของเฉยๆได้
แต่จะต้องมีการศึกษาหนังสือ 2 เล่มควบคู่ไปด้วย นั่นคือ 1.มหากาพย์มหาภารตะ 2.คัมภีร์ภควัทคีตามิฉะนั้นการบูชาพระกฤษณะจะไม่บังเกิดผล (ที่มีการกำหนดเช่นนี้ก็เพราะต้องการให้มนุษย์ศึกษาคำสอนในคัมภีร์)
ผู้ที่ปฏิบัติตนเป็นผู้ติดตามพระกฤษณะ หรือ ผู้นับถือศรัทธาในพระกฤษณะ เรียกว่า ผู้ภักดี โดยในภควัทคีตาจะสอนเรื่อง ภักดีโยคะและการเข้าถึงบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระกฤษณะมหาเทพนี้ก็เป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระผู้เป็นเจ้าทุกพระองค์
สามารถอ่านเรื่องภควัทคีตาได้ในบทความต่อไป คลิกที่นี่ - ภควัทคีตา
มนต์บูชาพระกฤษณะมหาเทพ เรียกกันในนิกายว่า "มหามนต์"
ในปุราณะต่างๆ กล่าวไว้ว่า การบูชาพระกฤษณะ อาจทำได้โดยไม่ต้องบูชาพระพิฆเนศก่อน
(เป็นมหาเทพเพียงองค์เดียวที่ไม่ต้องกล่าวบูชาผ่านพระพิฆเนศได้อย่างสนิทใจ)


มหามนต์บูชาพระกฤษณะ
ฮะเร กฤษณะ ฮะเร กฤษณะ
กฤษณะ กฤษณะ ฮะเร ฮะเร
ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ
รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร

การสวดมหามนต์ 4 บรรทัดนี้ ผู้สวดสามารถใส่ทำนองลงไปได้อย่างอิสระ
(จะนำเพลงมหามนต์นี้มาให้ดาวน์โหลดไปฟังกันเป็นตัวอย่างต่อไปครับ)
.........................................................................................................................................


กฤษณะมหามนต์
มนต์บูชาพระกฤษณะ

ฮะเร กฤษณะ ฮะเร กฤษณะ
กฤษณะ กฤษณะ ฮะเร ฮะเร
ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ
รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร

พระกฤษณะ เผยสภาวะที่แท้จริงแก่ท้าวอรชุน ว่าตนคือ พระวิษณุ (นารายณ์อวตาร) ในมหาสงคราม ณ ทุ่งกุรุเกษตร (คุรุเกษตร)

พระนารายณ์เปิดโลก เป็นภาพที่ผู้ศรัทธาบูชาทั้ง พระวิษณุ และ พระกฤษณะ
เป็นภาพตอนที่พระกฤษณะเผยตนว่าเป็นนารายณ์อวตารในมหาภารตะนั่นเอง

เรื่องราวใน มหาภารตะ และ ภควัทคีตา เป็นเรื่องราวที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง

ภาพจากมหากาพย์เรื่อง "มหาภารตะ"

 
 

ภควัทคีตา - คัมภีร์แห่งมวลมนุษยชาติ

พระกฤษณะมหาเทพ

กรรมอันประเสริฐของพระกฤษณะ 

บทความจาก - วารสารศรีมณเฑียร ทรรศน์ / สมาคมฮินดูสมาช
พระศรีกฤษณะเป็นพระอวตารของพระเป็นเจ้า!!
รูปพระศรีกฤษณะที่แท้จริงนั้น ชี้ให้เห็นถึงอารมณ์ของการอวตารของพระองค์ ลักษณะของนกยูงที่พระเศียรของพระองค์นั้น บ่งบอกให้เห็นว่า นกยูงกินงูที่มีพิษได้ ในทำนองเดียวกันนี้ พระองค์จะทรงทำให้ธาตุที่เป็นพิษในสังคมหมด สิ้นลงได้ ยิ่งกว่านั้น พระองค์ได้ถูกนำออกแสดงในท่าทางที่โค้งเล็กน้อย มงกุฎของพระองค์มีความเอียงเพียงเล็กน้อยในท่าทางที่ทรงขลุ่ย พระพักตร์ของพระองค์ ทรงหันไปเล็กน้อยด้วยเหมือนกัน ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า พระองค์ทรงประทับยืนในท่าทางที่บูชา ผู้ภักดีของพระองค์ แต่ในเวลาเดียวกันนี้ สำหรับคนบาปแล้ว พระองค์ ทรงแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงมีแผนการณ์บางอย่างในการที่จะลงโทษพวกเขา ซึ่งคนบาปทั้งหลายไม่สามารถเข้าใจได้ ความหมายอีกอย่างหนึ่งจากท่าที่โค้งของพระองค์ ก็คือว่า พระองค์เข้าไปสู่หัวใจของผู้ภักดีของพระองค์ในท่าที่ทรงเอียงเล็กน้อย ซึ่งพระองค์ไม่เคยได้ทำเช่นนั้นมาก่อน
ปณฺห จุรเย ชาต โห, นิรปล ชานิ เก โมห หิรทยาส เส จป ชโอเค มารท ปขโน โตหิ
ขลุ่ยแสดงให้เห็นความรู้ของพระองค์ในเรื่องดนตรี เท่าๆ กับความรักอันบริสุทธิ์ พระองค์ทรงใช้ขลุ่ยเพื่อทำให้ประชาชนเบาใจจากการทรมานของกษัตริย์กัณสะ และพระองค์ทรงทำให้ประชาชนทั้งหมดมารวมกัน และสร้างความรักและความเสน่หาในระหว่างพวกเขา เสียงอันไพเราะของขลุ่ยของพระองค์ไม่เพียงแต่นำประชาชนให้มารวมกันเท่านั้น แต่ยังทำให้นกและสัตว์ทั้งหลายมารวมกัน ลืมความรู้สึกที่เป็นศัตรูต่อกันในระหว่างพวกมันด้วย
แต่ในทุกวันนี้ขลุ่ยของพระองค์ยังสอนพวกเราให้รู้ว่า เราควรจะเล่นขลุ่ยของชีวิตของเราในเสียงไพเราะเช่นนั้น ซึ่ง แสดงให้เห็นว่าโดยการฟังเสียงขลุ่ย โลกทั้งโลกควรจะรวมเข้าด้วยกัน ร้อยกันเข้าในด้ายเส้นเดียว และลืมความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันใดๆ เกี่ยวกับคนอื่นๆ
ตามคัมภีร์ภควัตคีตา (คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์) การเกิดและการกระทำของพระองค์เป็นไปอย่างพระเป็นเจ้าให้เป็นไป พระองค์ได้แสดงถึงเส้นทางที่ถูกต้องแก่คนเป็นจำนวนมาก ผู้ใดเดินอยู่บนเส้นทางที่ผิดในมนุษยชาติ และกับด้วยกรรมอันประเสริฐของพระองค์ จึงได้ถูกขนานพระนามว่าเป็นวีรบุรุษของโลก
***** กรรมอันประเสริฐของพระศรีกฤษณะ *****
เมื่อพระศรีกฤษณะได้พระราชสมภพในเรือนจำของกษัตริย์กัณสะ แล้ว แสงก็ปรากฏขึ้นอย่างทันทีในห้องที่มึดทึบในเรือนจำ ณ ที่นั้นพระวาสุเทพและพระนางเทวกีได้ถูกจองจำเอาไว้ เมื่อเห็นแสงสว่างนั้น ทั้งพระวาสุเทพและพระนางเทวกีได้เป็นอิสระจากความกลัวและความเศร้าโศก โซ่ตรวนทั้งหมดของทั้งสองพระองค์ได้หลุดจากพระหัตถ์และพระชงฆ์ที่ได้พันธนาการไว้โดยอัตโนมัติ ตามหลักการทำนาย เมื่อพระวาสุเทพอุ้มเด็กทารกคือพระกฤษณะข้ามแม่น้ำยมุนา น้ำในแม่น้ำลดลงทันที และน้ำในแม่น้ำลดลงเหลือแต่เพียงตาตุ่ม แม้ในเมืองปรินทวารไม่มีใครรู้ว่าลูกสาวของนางยโสธราได้แลกเปลี่ยนกับพระกฤษณะ
ครั้งหนึ่ง ในสมัยที่พระองค์ยังทรงเป็นพระกุมารน้อยๆ มารดายโสธราของพระองค์ ทรงเบื่อกับด้วยกลอุบายและการรบกวนของพระองค์ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะเอาเชือกผูกพระองค์เอาไว้ แต่น่าแปลกมาก เชือกทั้งหมดกลับสั้น ซึ่งไม่สามารถผูกพระองค์ได้ ในที่สุดพระองค์เองก็สมัครใจผูกพระองค์เองไว้กับต้นไม้ชื่อ”ยมาช”และ”อรชุน” หลังจากผูกมัดอยู่นั้น พระองค์ก็ดึงพระองค์เองและด้วยผลที่เกิดขึ้นมานั้น ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็หักโค่นลงมา และ ต้นไม้ยมาชและอรชุนก็ได้ไปเกิดใหม่ เพราะทั้งสองมีชีวิตเกิดเป็นไม้ต้นนั้นเป็นเวลาหลายพันปี และได้รับพรว่า เมื่อพระเป็นเจ้าจะอุบัติมาในโลก พวกเขาจะได้เกิดเป็นชีวิตใหม่
พระองค์ได้แสดงรูปร่างของพระองค์ของโลกทั้งมวล จากพระโอษฐ์ของพระองค์แก่มารดายโสธรา
ผู้ใดมีความเชื่อในพระเป็นเจ้า บางคนพยายามที่จะไม่เชื่อในกรรมอันสูงส่งของพรศรีกฤษณะ แต่พวกเขาไม่รู้แจ้งชัดว่า พระ เป็นเจ้านั้น มันไม่ใช่เรื่องราวที่เราจะนำมาถกเถียงกัน (โดยทางสติปัญญาของพวกเรา) แต่มันเป็นเรื่องของศรัทธา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาควรจะเข้าใจให้แจ่มแจ้งด้วยเหมือนกันว่า แม้คนเล่นกลธรรมดาๆ สามารถแสดงมายากลอันลึกลับมากมายแก่คนทั่วๆ ไป และทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ แล้วอะไรที่ยุ่งยากสำหรับพระเป็นเจ้าผู้สร้างอันสูงสุดเล่า พระองค์ทรงสร้างนักมายากลขึ้นมา เป็นต้น ผู้สร้างอันสูงสุดในระหว่างสิ่งอื่นๆ ทั้งหลาย พระองค์ทรงประทานสายตาให้แก่มนุษยชาติ มนุษย์สามารถจะเห็นสิ่งที่เล็กที่สุด เช่น มด และสิ่งที่ใหญ่ที่สุด เช่น ภูเขา ด้วยสายตา (ที่พระองค์ทรงประทาน) แล้วอะไรเล่าที่ลำบากสำหรับพระองค์หรือ
ในสมัยที่พระองค์ทรงเยาว์วัย พระองค์ทรงฆ่าคนชั่วร้ายทั้งหมด เช่น ศักตาสุระ, พักสุระ, วฤศม สุระ และกัณสะ อันนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ไฟฟ้าผ่านไปตามสายบางสาย สามารถที่จะทำให้เครื่องจักรที่หนักที่สุดทำงานได้ และกระแสไฟฟ้าสามารถจะฆ่าสัตว์ที่มีชีวิตใดๆ ได้ ในทำนองเดียวกันนี้ พระเป็นเจ้า แม้พระองค์จะทรงอยู่ในรูปร่างที่เล็กที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มีความแข็งแกร่งปฏิบัติกรรมที่สูงสุดได้ พระองค์สามารถที่จะอวตารลงมาในรูปใดรูปหนึ่งได้ และสามารถแสดงสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ได้ โดยกรรมอันสูงส่งมากมายหลากหลายของพระเป็นเจ้า มันเป็นการพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระศรีกฤษณะนั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป แต่พระองค์ทรงเป็นอวตารของพระเป็นเจ้าผู้สูงสุด
บุคคลไม่ควรลืมว่าพระศรีกฤษณะนั้นทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง และพระองค์ทรงจ้องมองดูการกระทำของทุกๆ คน พระองค์ทรงเกลียดชังผู้หลอกลวง เมื่อแม่มดชื่อปุตนะแปลงกายเธอเองเป็นโคปิกะ และพยายามจะฆ่าพระศรีกฤษณะโดยเอายาพิษปนลงในอาหารที่พระองค์จะรงเสวย โดยคิดว่าเป็นเด็กทารกคนหนึ่ง ทันทีนั้นพระศรีกฤษณะทรงตรวจพบอารมณ์อันชั่วร้ายของเธอได้ และดูดนมเธออย่างแรง ซึ่งเธอก็ตาย
ยักษ์ชื่อวฤศภาสุระ ซึ่งกษัตริย์กัณสะเป็นผู้ส่งไปหาพระศรีกฤษณะเป็นคนฉลาดแกมโกงคนหนึ่ง คิดว่าพระศรีกฤษณะกราบไหว้บูชาโค เขาแปลงกายตัวเองเป็นโคตัวผู้ตัวหนึ่ง โดย เชื่อว่าเมื่อเป็นโคตัวผู้ พระศรีกฤษณะจะไม่ฆ่าเขา และว่าเขาสามารถจะสังหารพระศรีกฤษณะสำเร็จได้ แต่ทันทีนั้นพระศรีกฤษณะตรวจพบว่าเขาเป็นยักษ์ และทรงสังหารเขาทันที ความตายของยักษ์วฤศภาสุระ สอนให้เรารู้ว่า ถ้าบุคคลปลอมตัวเขาเองเป็นสิ่งๆ หนึ่ง เหมือนอย่างพระเป็นเจ้า บุคคลคนนั้นไม่สามารถจะได้ชนะจากความพอพระทัยจากพระเป็นเจ้าได้เท่านั้น โดยการกระทำเช่นนั้น บุคคล ควรจะมีความรู้สึกในทางที่ดี และมีความคิดอันบริสุทธิ์จริงๆ และแล้วพระองค์ไม่สนพระทัยเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของท่าน พระองค์ต้องการความรักและความภักดีที่แท้จริงอย่างเดียวเท่านั้น
พระศรีกฤษณะทรงปฏิรูปสังคมด้วยเหมือนกัน การกระทำกรรมบางอย่างของพระองค์ที่มีต่อการปฏิรูปสังคม ดังต่อไปนี้
คนเลี้ยงแกะ ผู้ซึ่งกษัตริย์กัณสะผู้โหดร้ายเกลียดชังมาก แต่พระศรีกฤษณะให้ความยกย่องต้อนรับพวกเขา และกลับเป็นมิตรที่ดีที่สุดของพระองค์ คนเลี้ยงแกะนี้ยากจน ผู้ เคยคิดพิจารณาตนเองว่าเป็นผู้ที่สังคมรังเกียจ และถูกประณามในสังคมว่าต่ำต้อย พระศรีกฤษณะให้ความยกย่อง ความนับถือพวกเขาและกำจัดปมด้อยของพวกเขา และยกย่องให้พวกเขามีความเชื่อมั่นในตนเอง นี่คือบทเรียนที่พระศรีกฤษณะทรงมอบให้แก่สังคมโลกทั้งมวลว่า บุคคลควรให้ความเคารพยกย่องแก่คนยากจน และพยายามยกพวกเขาให้สูงขึ้น
การกระทำของพระศรีกฤษณะที่ทรงยกภูเขานามว่า โควรธาน เพื่อที่จะสอนความหยิ่งยโสของพระอินทร์ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ควรจะได้รับความร่วมมือจากประชาชน ถ้า ผู้มีอำนาจอย่างเช่นพระอินทร์พยายามที่จะทำให้ประชาชนได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน แล้วผู้นำสังคมที่แท้หรือพระเจ้าแผ่นดินจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือประชาชนให้ ปลอดภัย และไม่ควรหลีกเลี่ยง แม้ในการกระทำที่ยุ่งยากลำบากที่สุด เช่น อย่างการยกภูเขา ในทำนองเดียวกัน ประชาชนควรมีความสามัคคีรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่นอย่างคนเลี้ยงแกะทั้งหมดช่วยกันยกภูเขา โดย การยึดมั่นรวมกันของแต่ละคนภายใต้ภูเขานั้น แต่ทั้งหมดต้องร่วมใจกันแน่น อันนี้แสดงให้เห็นว่า ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นเป็นพลังอันแข็งแกร่ง
โดยการทำการฉลองประเพณี “อันนา กูต” พระองค์ทรงสอนประชาชนว่า ควรจะรับประทานอาหารอย่างไร โดยการแบ่งปันกันในระหว่างคนอื่นๆ ประเพณี “ อันนา กูต” เป็นการฉลองที่ได้กระทำกันหลังจากประเพณี “ทีปวลี” และหากปราศจากประเพณี “อันนา กูต” เสียแล้ว ประเพณี “ทีปวลี” ก็ย่อมสมบูรณ์ไม่ได้ เราอาจจะจุดประทีปหรือจุดเทียนเป็นพันๆ ดวง แต่ พระแม่เจ้าลักษมีจะทรงพอพระทัย ก็ต่อ เมื่อเราพยายามที่จะจำกัดความหิวโหยของคนอื่นๆ และพยายามที่จะทำให้คนอื่นๆ ทั้งหมดมีความสุขสบายด้วยอาหารและทรัพย์สมบัติ
ประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่นิยมชมชอบกันเป็นอันมาก ได้เริ่มต้นโดยพระศรีกฤษณะ ประเพณีนี้สอนให้เรารู้ว่า เรา ควรฝังความเห็นแก่ตัวของเราและอารมณ์ที่เคียดแค้นผูกอาฆาตพยาบาทของเราลงใน ดินให้หมดสิ้นไป และเผยแพร่สีแห่ง ความรัก ความเสน่หาและความบริสุทธิ์ใจแก่คนอื่นๆ เพื่อว่าสังคมทั้งมวลเต็มไป ด้วยความรักและความเสน่หา
หลังจากที่พระศรีกฤษณะทรงฆ่ากษัตริย์กัณสะแล้ว พระองค์ไม่ทรงยอมรับที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ตรงกันข้ามกับคำอ้อนวอนเชิงขอร้องครั้ง แล้วครั้งเล่าของพระเจ้าปู่ของพระองค์ คือพระเจ้าอุครเสน พระศรีกฤษณะทรงมอบราชบัลลังก์ให้แก่พระเจ้าปู่ของพระองค์ คือ อุครเสน ในการที่พระองค์ฆ่ากษัตริย์กัณสะ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ตัวที่จะยึดบัลลังก์ แต่เพื่อฆ่าคนชั่วร้ายและทารุณเพียงอย่างเดียว เพื่อหาบุคคลผู้ให้เกียรติแก่มนุษยชาติ ศาสนาและช่วยเหลือประชาชนขึ้นมาแทนเท่านั้น
พระศรีกฤษณะนอกจากจะเป็นผู้ปฏิรูปสังคมแล้ว พระองค์ทรงเป็นโยคีและอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเหมือนกันโดยผ่านสื่อกลางคือพระอรชุน พระองค์ทรงประทานความรู้อันประเสริฐยิ่งแก่โลกทั้งมวล ซึ่งได้จารึกไว้ในคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “ศรีมาท ภควัทคีตา” ซึ่งได้แปลเป็นภาษาต่างๆ ของโล ขั้นพื้นฐาน แล้ว คัมภีร์นี้สอนให้เรารู้ว่าอย่าได้กลัวความตาย และต้องคิดนึกถึงหน้าที่ของเราอยู่เสมอ คัมภีร์เล่มนี้สอนถึงวิธีการว่าจะเข้าถึงความสงบสุขได้อย่างไร
ขณะที่ทำอารตีของภัควันกฤษณะ จริงๆ แล้วเราควรรับเอาคุณสมบัติอย่างมนุษย์มาไว้ในตัวเรา และรับเอาคำสอนของพระองค์ที่มีอยู่ในภควันคีตามาประพฤติปฏิบัติในชีวิตของเรา เราก็เหมือนกับท่านอรชุน ควรปฏิบัติหน้าที่ของเรา เราไม่ควรอ่านคำสอนในภควันคีตาเพียงอย่างเดียว แต่เราพร้อมที่จะรับใช้สังคม และมีความรักอันบริสุทธิ์เช่นเดียวกับพระนางราธาและพระกฤษณะ
ข้อสังเกต ในพระกรข้างซ้ายของรูปภาพของศรีราธา-กฤษณะนั้น มีภาพๆ หนึ่งในภาพนั้น พระศรีกฤษณะประทับอยู่บนบัลลังก์ที่สูง พระ พิทูรนั่งอยู่ที่บาทาดอกบัวของศรีพระภควาน กฤษณะ ภรรยาของพระพิทูรหลงไหลบ้าคลั่งในความรักต่อศรีภควาน-กฤษณะ และกำลังวิ่งไปหาพระศรีภัควันกฤษณะ ขณะที่กำลังเอาผลกล้วยอันบริสุทธิ์ไปถวาย ผู้ช่วยกู้โลกนี้ให้พ้นภัยคือพระกฤษณะ ผู้ต้องการความรักอันบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว มีความประสงค์ที่จะเสวยผลกล้วยมากกว่าผลไม้อื่นๆ ที่นำมาถวายโดยทุรโยชน์ พระพิทูรคิดว่าตัวเขาเองได้รับเกียรติอย่างยิ่งใหญ่ และได้ประพันธ์บทกวีไว้ดังต่อไปนี้
นิตฺโย ธมฺเม สุข ทุกฺเข ตวนิตฺเย
ชีโว นิตฺโย เหตุรสฺยา ตวนิตฺยา
ตยกตวสนิตยม ปรติศถสว นิตฺเย
สนฺตุศยา ตวมฺโทษ ปโตหิ ลภ

ความหมายก็คือว่า ศาสนาเป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอน และความสุข/ความเศร้าโศกเป็นสิ่งชั่วคราว กล่าวคือ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ชีวิตในความบริสุทธิ์ของมันเป็นสิ่งที่ยั่งยืนถาวร แต่สิ่งทั้งหลาย เช่นร่างกาย เป็นต้น เป็นสิ่งอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว ฉะนั้น บุคคลไม่ควรพยายามปักใจนิ่งอยู่ในสิ่งไม่เที่ยงแท้ และควรภักดีให้ดีที่สุดต่อสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน
ข้อสังเกต: ทางด้านขวามือของรูปภาพของพระศรีราธา-กฤษณะนั้น มีรูปภาพอีกรูปหนึ่งข้างบนภาพนั้นเขียนไว้ว่า “สุชาต ก ขีร ปาน” ณ สถานที่คยา อันบริสุทธิ์ภายใต้ต้นมหาโพธิ์ มีสตรีที่มีเสน่ห์อันงดงามของตำบลนั้นกำลังถวายน้ำนม “ขีร” (ข้าว ทิพย์คือข้าวผสมน้ำนม) อย่างภักดี หลังจากเสวยน้ำนมนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเข้าถึงความเป็นพุทธะในวันพระจันทร์เต็มดวง หลังจากวันนั้น เท่านั้น พระพุทธเจ้าทรงได้นามว่าพุทธในเวลานั้นพระองค์ทรงตรัสว่า
ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา อาตาปิโน ชายโต พรหมณสฺสต
อถยสฺต กเรวา วปยนฺติ สมณ, ยโต ปชานาติ สเหตุ ธมฺมาติ
ความหมายก็คือว่า เมื่อใดก็ตาม บุคคลเข้าถึงความสุขอันแท้จริง นั่นหมายถึงการควบคุมอารมณ์ได้แล้ว
บุคคลผู้เข้าใจอาตมันนี้แล้ว เขาผู้เดียวเท่านั้นย่อมได้ความสุขที่แท้จริง
ธมฺมปีติ สุขมฺเสติ วิปสนฺเนน เจตสา
อริยปฺปเวทิตธมฺเม สทารมติ ปณฺฑิโต.
หมายความว่า ใจซึ่งได้ดื่มน้ำอมฤตของธรรมะแล้วเท่านั้น สามารถเข้าถึงความสุขที่แท้จริง บัณฑิตย่อมสอนธรรมะที่พระอริยะได้ประกาศแล้วเสมอ
บทความจาก - วารสารศรีมณเฑียร ทรรศน์ / สมาคมฮินดูสมาช

พระนางราธา ยอดสาวกผู้ภักดีของพระกฤษณะ

จาก - ศรีมณเฑียร ทรรศน์ / สมาคมฮินดูสมาช
http://wongmalatorn-say.exteen.com/20071115/entry

พระศรีกฤษณะ 
เป็นพระเป็นเจ้าผู้สูงสุดแห่งสัจธรรม ทรงปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง และอำนาจของพระองค์ (การทำให้ทุกๆ คนสบายใจ) นั้น คือพระนางราธา แม้ทั้งสองพระองค์ มองดูเป็นเหมือนต่าง ๆ กัน แต่พระองค์ก็เป็นหนึ่งเดียวและอย่างเดียวกัน ภัควันกฤษณะนั้น พระองค์เองได้ทรงบอกแก่พระนางราธาว่าดังนี้
ยถา ตวมฺจ ตถาหมฺ จ เภโท หิ นวโย ธรุวมฺ
ยถา ขยีเร ชวลยมฺ ยถาคโน ทหิก สติ
ยถา ปริถิวยมฺ คนฺธศจ ตถาหมฺ ตุอยี สนฺตตมฺ
ความหมายก็คือว่า เจ้าก็เป็นอย่างเดียวกัน อย่างที่ข้าฯ เป็นอย่างแน่นอน ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างเรา เพราะมีความขาวอยู่ในน้ำนม มีอำนาจการเผาไหม้อยู่ในกองไฟ และมีกลิ่นหอมอยู่ในตน ในทำนองเดียวกัน ข้าฯ ก็อยู่ในเจ้า นั่นหมายความว่าทั้งสองแยกออกจากกันไม่ได้ เพราะอำนาจที่ปรากฎของพระองค์ก็อยู่ ในทุกๆ อณูของ พระนางราธา พระองค์นั้นย่อมเป็นที่รู้จักกัน ราธารามันด้วยเหมือนกัน ราธานั้นย่อมเป็นที่รู้กันว่า “ราธิกา” เพราะพระนางทำการบูชาพระกฤษณะอยู่ตลอดเวลา พระนางราธาและพระกฤษณะทั้งสอง เป็นชื่อที่เป็นประโยชน์มากสำหรับมนุษยชาติ
รา “RA” ศพฺโท อุจรนฺธ ภกฺโต ภคฺติม มุกติม จ รติเส
ธา “DHA” ศพฺโทอุจรนฺธ ธวตเยว หเร ปทมฺ
ความหมายก็คือ ผู้ภักดีย่อมได้ความภักดีและความหลุดพ้น โดยการท่องคำว่า “RA” และผู้เข้าถึงพระบาทของพระเป็นเจ้า โดยการท่องคำว่า “DHA” พระ นางราธาได้พิจารณาเห็นว่าพระศรีกฤษณะย่อมเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอและใน ทำนองเดียวกันพระกฤษณะก็ทรงเห็นว่าพระนางราธาว่า เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์ หญิงงามอื่น ๆ ทั้งหมด ถามพระนางราธาอย่างประหลาดว่า
ราเธ ตู บาร ภคินี เกาน ตปสย เกอัน
ตีนโลกเก โอธิปติ โสตุมหาเร อธีน
ความหมายก็คือ เฮ ราเธ ท่านมีโชคดีมาก (การบูชา) ที่ท่านได้ทำส่งผลให้ พระเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของโลกทั้งสามโลกนั้นอยู่ในการควบคุมของท่าน
พระนางราธา ไม่มีความสนใจในความสุขสบายทางโลก ชีวิตของพระนางไม่ได้สูญเสียไปโดยพิษภัยของสิ่งที่ชั่วที่ได้รับทางอายตนะ แต่ชีวิตของพระนางเต็มไปด้วยความรักอันบริสุทธิ์ พระนางพิจารณาเห็นความรักของเธอสำหรับพระกฤษณะนั้นว่ายิ่งใหญ่กว่าสิ่งหนึ่ง สิ่งใดอื่น ยิ่งใหญ่กว่าทรัพย์สมบัติของโลกทั้งสาม
เรื่องราวดังต่อไปนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงดังต่อไปนี้
ครั้งหนึ่ง ภัควันกฤษณะ อุทานนามของพระนางราธาด้วยความภักดีที่เข้มข้นมากซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อได้เห็นการอุทานของพระกฤษณะอันนี้ ราชินีทั้งหลายเช่นพระนางรุกมณี และราชินีอื่น ๆ ก็กลับอิจฉาริษยาพระนางราธาอย่างมาก และถามพระกฤษณะว่า พระนางราธามีคุณสมบัติอะไรเป็นพิเศษหรือที่ทำให้พระองค์ไม่สนพระทัยต่อพวก เรา แต่พระองค์กลับหมกมุ่นอยู่ในพระนางราธา พระกฤษณะ ทรงบอกให้พวกราชินีเหล่านั้นทราบว่า พระองค์จะทรงตอบคำถามนี้ในเวลาอันควร หลังจากนั้น พระองค์ทรงประชวรปวดพระนาภีอย่างแรงมาก หลังจาก ได้ทำการรักษาหลาย ๆ ครั้ง อาการก็ไม่ดีขึ้น ทันใดนั้น ฤาษีนารอดก็มาเยี่ยมพระองค์ และราชินีทั้งหมดก็ทรงถามพระองค์ว่าจะทำการรักษาพระองคให้หายจากความเจ็บปวด ได้อย่างไรหรือ พระองค์ทรงตอบว่า การรักษาโรคนี้ง่ายมาก บุคคลผู้มีความรักในพระกฤษณะมากที่สุด ควรนำเอาเมล็ดทรายที่ใต้เท้าของเขาหรือเธอที่เหยียบแล้วนั้น และ เอาทรายเมล็ดเดียวกันนั้นใส่ลงไปในน้ำ และให้พระกฤษณะเสวย และความเจ็บปวดก็จะหายไป แต่บุคคลนั้น (ผู้มีความรักในพระกฤษณะมากที่สุด) จะต้องไปตกนรกอย่างน้อยหนึ่งกัลป์ ราชินีทั้งหมดมีความกลัวที่จะไปตกนรก จึงพยายามที่หลีกเลี่ยงการรักษาพยาบาลเช่นนั้น โดยการให้คำแนะนำของพระกฤษณะ ฤาษีนารอดไปหาพระนางราธา
เมื่อได้ทราบการป่วยของพระกฤษณะ พระนางราธาก็กระวนกระวายพระทัยเป็นอย่างมาก เหมือนปลิงที่ปราศจากน้ำ แต่เมื่อได้ยินฤาษีนารอดแนะนำเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พระนางก็ตรัสขึ้นทันทีว่า ถ้า เพียงแต่เอาทรายที่สัมผัสกับเท้าของฉัน พระองค์ทรงหายจากการประชวร แล้วดิฉันตั้งใจที่จะไปตกนรกโดยไม่จำเป็นที่จะพูดถึงเพียงกัลป์เดียวเท่า นั้น แต่ฉันไม่สามารถจะทนดูให้พระกฤษณะทรงได้รับความเจ็บปวดต่อไปได้ ทันทีนั้นพระนางก็เอาทรายที่สัมผัสด้วยบาทาของพระนางใส่ลงไปในน้ำ และมอบให้ฤาษีนารอดนำไปทูลถวายพระกฤษณะ เมื่อพระกฤษณะทรงเสวยน้ำนั้นแล้ว ความเจ็บปวดก็หายไปทันที ภัควันกฤษณะทรงบอกแก่ราชินีทั้งหมดเหล่านั้นถึงเหตุผลที่พระองค์ทรงนึกถึง พระนางราธาอยู่ตลอดเวลา เพราะพระนางไม่สนใจที่จะไปตกนรก ทั้งพระนางก็ไม่ต้องการความสุขสบายใจในทางโลก พระนางต้องการฉันเพียงผู้เดียวเท่านั้น พระนางมีพระทัยแน่วแน่อยู่ที่ฉัน และท่องนามของฉันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ฉันจึงจำเป็นต้องตอบแทน และระลึกนึกถึงชื่อของพระนางตลอดเวลาเช่นกัน เมื่อได้ทราบเรื่องราวนี้แล้ว ราชินีทั้งหมดก็รู้สึกละอายใจ
พระนางราธามีความรักในพระกฤษณะอย่างรุนแรงมาก เหมือนคนบ้า การที่พระนางรักอย่างรุนแรงในพระกฤษณะ บางครั้งพระนางตะโกนออกมาดังๆ ว่า โอที่รัก โอที่รัก หรือบางครั้ง พระนางเต้นรำเหมือนนกยูงรำแพน บางครั้งพระนางทุรนทุรายเหมือนกับปลาที่ปราศจากน้ำ เพราะความรักอันบริสุทธิ์ของพระองค์ พระนางราธาจึงเป็นหัวข้อเรื่องอันสำคัญที่นักกวีทั้งหลาย นักศิลปินหรือผู้คงแก่เรียนทางวรรณคดีนำมากล่าวถึง
เมื่อพระนางหลุดพ้นจากความอยากได้ทางโลกทั้ง หมดแล้ว พระนางก็ต้องการพระกฤษณะเพียงผู้เดียวเท่านั้น เมื่อมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิด และมีความรักแด่พระองค์ผู้เดียวมากยิ่งกว่าชีวิตของพระนางเอง พระนางไม่มีความประสงค์ที่จะกลับมาเป็นพระชายาของพระองค์ หรือ ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดอื่นอีกจากพระองค์ เว้นเสียแต่พระองค์เองผู้เดียวเท่านั้น เพราะการเสียสละปราศจากความเห็นแก่ตัว และการมอบกายและถวายใจอย่างสมบูรณ์แบบของพระนาง พระนางราธาจึงได้รับการกราบไหว้บูชา พร้อมกับพระกฤษณะเสมอ และไม่มีชายาองค์หนึ่งองค์ใดอีก พระรูปของพระกฤษณะกับพระนางราธา ย่อมเป็นการสอนให้เรารู้ว่า ผู้ภักดีทั้งหลายเหล่านี้ ผู้กราบไหว้บูชาพระเป็นเจ้า เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขความสบายทางโลก พระองค์ย่อมประทานสิ่งอย่างเดียวกัน (ตามที่เขาต้องการ) แต่บุคคลทั้งหลายเหล่านั้น ผู้มีความประสงค์เพื่อการเข้าถึงพระเป็นเจ้า พระองค์ย่อมจัดการให้พวกเขาได้สิ่งที่ประสงค์ตลอดไป และประทานสถานที่เท่าเทียมกับพระองค์แก่พวกเขา
จาก - ศรีมณเฑียร ทรรศน์
ขอขอบคุณ - สมาคมฮินดูสมาช
http://wongmalatorn-say.exteen.com/20071115/entry

ภควดีสีดา..ศรีสตรีบริสุทธิ์ในอุดมคติแห่งอินเดีย
จาก - ศรีมณเฑียร ทรรศน์ / ขอขอบคุณ - สมาคมฮินดูสมาช

พระเป็นเจ้าผู้สูงสุดอันไม่สามารถจะเห็นได้ ย่อมอวตารลงมาในรูปร่างมนุษย์ อย่างเช่นพระรามพระองค์ได้ทรงชี้หนทางให้แก่คน และอำนาจอันสูงสุดก็ลงมาในรูปร่างของพระนางสีดา เพื่อชี้หนทางที่ถูกต้องให้แก่สตรีทั้งหลาย พระรามเป็นเมล็ดพืชขั้นมูลฐานของธรรมชาติและพระนางสีดา อุบัติมาเพื่อทำการหล่อเลี้ยงเมล็ดพืชเหล่านั้นให้เจริญรุ่งเรืองและเติบโตขึ้น
ปรนว ปรกฤติ รูปตวต ส สีตา ปรกฤติรูจยเต
เทพีผู้สูงสุดในรูปแบบของพระนางสีดา แสดงให้เห็นถึงสัตย์ (ความจริง) ราชาพลังและตโมคุม (ความโกรธ) คำว่า “สีดา” ทำให้ข้อความนี้ชัดแจ้งดังนี้ (ส) “สการ” แสดงให้เห็นถึงสัจจะ (ความจริง) นี้ คือ อมฤต และโสม ธรรมชาติในรูปแบบนี้ ย่อมให้น้ำอมฤต ให้อาหารคนและอาหารสัตว์ตามลำดับแก่เทพทั้งหลาย และมนุษยชาติ และสัตว์ทั้งหลาย (อี) = “อิกอาร์” เป็นรูปซึ่งพัฒนาธรรมชาติในลักษณะทั้งมวล ตา = หมายถึง รูปแบบ ของพระนางลักษมี (เทพีแห่งทรัพย์สมบัติ) ผู้ประทานความสุขสบาย และทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่โลก ความจริงแท้นั้นก็คือว่า พระนางสีดาเกิดมาจากหม้อดิน ในทุ่งนาของพระราชาชนก ขณะที่พระองค์ทรงไถนั้น แสดงให้เห็นว่าอำนาจขั้นมูลฐานอันยิ่งใหญ่นั้น อยู่ในดินของพระวิษณุ ย่อมเป็นตัวแทนในพระนางสีดา ลักษณะทั้งสองเหล่านี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติอย่างเดียวกัน เปรียบเหมือนเหรียญเงินเดียวกัน ข้างหนึ่งนั้นมีรูปภาพ และอีกข้างหนึ่งแสดงถึงอัตราราคา
พระนางสีดาคือการศึกษาอันสูงสุด ซึ่งนำไปสู่ความหลุดพัน และความแข็งแกร่ง ส่วนทศกัณณ์ได้บำเพ็ญตบะอย่างเข้มข้น หลายครั้งหลายหน และเขาย่อมได้มาซึ่งอำนาจทางไสยศาสตร์ต่าง ๆ แต่เขาไม่ได้รับความสงบสุข ทั้งไม่ได้ความหลุดพ้น แล้วเขาก็พบหนทางของเขาที่จะเข้าถึงความหลุดพ้น โดยผ่านการศึกษาที่สูงสุด คือพระนางสีดา และเขาก็ได้ความหลุดพ้น โดยผ่านสื่ออันนี้ ฤาษีวิศวมิตร ก็เคยหยิ่งผยองของอำนาจของเขา เมื่อเขายังคงลำพองตัวอยู่ เขาก็แพ้จากอำนาจเจตนาของฤาษีวาศิษฐ์ แต่เมื่อเขาเห็นอำนาจที่สูงที่สุดทางการศึกษา (สีดา) เขาก็ยอมตนประนมมือขึ้น ต่อหน้าของท่านวาศิษฐ์โดยไม่ชักช้า ดังนั้น เขาจึงได้รับนามว่า พรหมฤาษี ฉะนั้น การที่จะเข้าถึงพระราม จึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องทำความเคารพนบน้อม ต่ออำนาจการศึกษาที่สูงส่งคือภควดีสีดา (พระนางสีดา)
คุณลักษณะนิสัยอันบริสุทธิ์ของภควดีสีดา เป็นตัวอย่างที่เป็นเอกภาพของความอดทนและความเคารพต่อธรรมะ ของสตรีชาวอินเดีย มันเป็นการยากมากที่จะหาตัวอย่างที่เหมือนกันในประวัติศาสตร์โลกในปัจจุบัน พระนางเป็นเจ้าหญิงและสะใภ้เจ้า ทรงรักษาพระองค์เองให้มีกิจการงานอยู่เสมอ ในงานของพระองค์เองทรงรับใช้พระสสุระและพระสัสสุ (พระบิดาและพระมารดาของพระราม) หลังจากพระนางได้ทรงอภิเษกสมรสแล้ว พระองค์ทรงรักษาความรักตามปกติของพระองค์ที่มีต่อน้องสาวของพระองค์คือพระ นางอุรมิลา ศรตุกิรติ และมันดวี ความรู้อันบริสุทธิ์ของพระองค์ (ปราศจากความรู้สึกอิจฉาริษยาใด ๆ ) ที่มีต่อพระอนุชา และพระขนิษฐาของพระสวามี เป็นตัวอย่างอันมีค่าที่ควรดำเนินตาม แม้ในปัจจุบัน พระองค์ทรงให้ความเคารพนับถือและรักพระอนุชาของพระสวามี เหมือนกับโอรสของพระนางเอง ในฐานะที่พระองค์เป็นชายาของพระราม พระองค์ทรงประทับอยู่กับพระสวามีตลอดเวลาไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือชั่วอย่าง ไร หลังจากที่พระรามได้รับคำสั่งให้ไปอยู่ป่าเป็นเวลา 14 ปี พระองค์ก็ยังคงติดตามพระสวามีของพระองค์ และรับใช้พระสวามีในป่าดีกว่าที่จะอยู่ในวัง ในป่านั้น พระองค์ทรงรับใช้พระสวามีโดยความยินดีและบริสุทธิ์ใจ ตรงกันข้ามกับการต่อสู้กับอุปสรรคและความยุ่งยากมากมาย
การกระทำให้เหตุการณ์ยุ่งยากมากขึ้น และลำบากมากขึ้นแก่พระนางก็คือทศกัณณ์ได้ลักพาพระนางไปและทำการทรมานพระองค์ ต่าง ๆ นานา แม้พระนางจะอยู่ในสภาพวิกฤติอย่างนี้ พระนางก็ต้องอดทนต่อสู้อย่างกล้าหาญ ตรงกันข้ามกับที่พวกมารทั้งหลายขู่คุกคามให้พระนางทรงกลัว และทศกัณณ์ก็ให้สิ่งล่อพระทัยมากมาย พระนางทรงต่อสู้โดยไม่ถอยหลัง แม้แต่ก้าวเดียว และพระนางก็ทรงมีพระทัยอันหนักแน่นมั่นคง อยู่ในธรรมะของพระนาง ในฐานะที่เป็นพระชายาที่แท้จริง ของพระสวามีของพระนางเอง การทดสอบถึงความภักดีอันแท้จริงนั้นไม่มีขอบเขตจำกัด มันเป็นเพียงความทารุณโหดร้ายเหล่านี้เท่านั้น ที่พระนางจะต้องอดทน ครั้งหนึ่งเมื่อพระรามได้แยกพระองค์เองออกจากพระนาง อันเนื่องมาจากความกดดันจากประชาชนทั้งหลาย พระลักษณ์พาพระนางไปทิ้งไว้ในป่าตามคำสั่งของพระราม ณ จุด ๆ นี้ พระลักษณ์ทรงร้องไห้อย่างข่มขืน แต่พระนางทรงปลอบพระลักษณ์ โดยตรัสว่า ถ้าพระสวามีของพระนาง สามารถจะรักษาเกียรติของพระองค์ไว้ได้ ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ที่ดี เพียงแค่การเสียสละ เล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ของพระนาง ไม่มีการเสนอที่ดีกว่าอย่างใดอย่างหนึ่งในชีวิตของพระนาง ในฐานะที่เป็นพระมารดา พระนางทรงแสดงบทบาทของพระองค์อย่างเชี่ยวชาญมากในการอบรมเลี้ยงดูพระโอรสของ พระนาง และทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง ได้รับการศึกษาและอยู่ในคุณธรรม พระนางโดยส่วนของพระองค์เองแล้วทรงให้คำแนะนำตามตารางเวลาประจำวันสำหรับพระ โอรสลัฟ และกุษ และพระนางทรงสำนึกอยู่เสมอในการสอนกริยามารยาทที่ดีให้แก่พระโอรสทั้งสอง

ลักษณะนิสัยอันประเสริฐของพระนางสีดา คือตัวอย่างสำหรับสตรีทั้งหลาย อันนี้แสดงให้เห็นว่า สตรีชาวอินเดียนั้น ไม่ได้หมายถึงความเพลิดเพลินในทางกามคุณเพียงอย่างเดียว แต่เธอจะต้องมีพลังอำนาจที่สูง ที่จะนำชีวิตที่ดีให้แก่สามี ครอบครัว สังคม และโลกทั้งมวล
ถ้าบุคคลดำเนินตามลักษณะนิสัยอันประเสริฐของพระรามและพระนางสีดา เขาผู้นั้นสามารถที่จะเข้าถึงคุณสมบัติทั้งหลายของเทพเจ้าในชีวิตนี้เอง การบูชาพระรามและพระนางสีดา คือการปรับเอาคุณสมบัติของพระองค์ทั้งสองไปประพฤติปฏิบัติเป็นประจำวันของตนเอง

วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

พระธาตุเชิงชุม

ประวัติพระธาตุเชิงชุม
ตามอุรังคนิทาน กล่าวว่า วัดพระธาตุเชิงชุม เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรดชาวเมืองหนองหารหลวง และกล่าวว่าบริเวณนี้เป็นที่บรรจุพระบาทของพระพุทธเจ้า ๔พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กุกสันโธ โกนาคมโน กัสสะโป และโคตมะ ซึ่งก่อนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ต้องไปประทับรอยพระบาทไว้ทุกพระองค์ นับว่าพระพุทธเจ้าพระนามว่า ศรีอา-ริยเมตรัย องค์ที่ ๕ ในภัทกัปป์นี้ก็จะประทับรอยพระบาทไว้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงถือกันว่าวัดพระธาตุเชิงชุม จึงเป็นวัดแรกที่พระยาสุวรรณภิงคาระพระะนางนารายณ์เจงเวง และเจ้าคำแดง อนุชาพระยาสิวรรณภิงคาร มาสร้างวัดขึ้นเมื่อย้ายราชธานีจากบริเวณซ่งน้ำพุและท่านางอายฝั่งตรงข้ามหนองหาร เมื่อครั้งหนองหารล่มเพราะการกระทำของพญานาค 
อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานเสมาหินที่พบอยู่รอบ ๆ วัดพระธาตุเชิงชุมและหลักฐานแท่นบูชารูปเคารพ ตลอดจนศิลาจารึกตัวอักษรขอมในพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ ซึ่งอยู่ติดผนังทางเข้าภายในอุโมงค์พระธาตุเชิงชุม (ชั้นใน ) ซึ่งก่อเป็นพระธาตุหรือสถูปขนาดเล็ก หลักฐานเหล่านี้บ่งบอกว่า บริเวณวัดพระธาตุเชิงชุมได้มีชุมชนเกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาโดยเฉพาะศิลาจารึกที่กรอบประตูทางเข้าปรางค์ขอมหรือสถูป ซึ่งมีความกว้าง ๔๙ เซนติเมตร ยาว ๕๒ เซนติเมตร เขียนเป็นตัวอักษรขอมโบราณ เนื้อความกล่าวถึงบุคคลจำนวนหนึ่ง ได้พากันไปชี้แจงแก่โขลญพล หัวหน้าหมู่บ้าน พระนุรพิเนาตามคำแนะนำของกำแสดงว่าที่ดินที่ราษฎรหมู่บ้านพะนุรพิเนามอบให้โบลูญพลนี้มี ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นที่ดินในหลักเขต ให้ขึ้นกับหัวหน้าหมู่บ้านพะนุรพิเนา นอกจากเรื่องการมอบที่ดินแล้ว ข้อความตอนท้ายของจารึกได้กล่าวถึงการกัลปนาของโขลญพลที่ได้อุทิศตน สิ่งของที่นา แด่เทวสถานและสงกรานต์ 
กล่าวโดยสรุปในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ บริเวณวัดพระธาตุเชิงชุมคงถูกปกครองโดยคนกลุ่มขอมที่พากันสร้างวัด โดยอุทิศที่ดิน บริวาร ข้าทาส ให้ดูแลวัด หรือศาสนสถานแห่งนี้ ซึ่งอาจเป็นศาสนสถานตามคติพราหมณ์หรือพุทธมหายานก็ได้

หลวงพ่อพระองค์แสน

   หลวงพ่อพระองค์แสน
ประดิษฐานภายในพระวิหารวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
หลวงพ่อพระองค์แสน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน ขัดสมาธิราบ ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทองหน้าตักกว้าง ๒ เมตร สูงจากฐานถึงพระเมาลี ๓.๒๐ เมตรประทับนั่งบนแท่นสูง ๑.๓๕ เมตร หันพระพักตร์ไปทางทิศ ตะวันออก หันพระปฤศฎางค์เข้าหาองค์ หลวงพ่อพระองค์แสนเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวสกลนครคู่มากับพระ ธาตุเชิงชุม ประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ภายในพระวิหาร เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มากอีกองค์หนึ่งของประเทศ
จากตำนาน หลวงพ่อพระองค์แสนสร้างขึ้นราวพุทธศักราช ๑๘๐๐ เพื่อแทนหลวงพ่อสุวรรณแสนองค์จริงที่เป็นทองคำทั้งองค์มีน้ำหนังหนึ่งแสนตำลึงทอง (สร้างโดยพระเจ้า ชัยวรมันที่ ๓) คือในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เมืองหนองหารหลวงเกิดแห้งแล้วต่อกัน 7 ปี และเกิดศึกสงครามหลายครั้ง จึงย้ายเมืองไปอยู่ที่นครธม ก่อนย้ายได้นำพระสุวรรณแสน ทองคำไปซ่อนไว้ในน้ำ ไม่สามารถนำไปได้ด้วยเหตุว่ากลัวข้าศึกจะมาแย่งชิงในระหว่างทาง พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จึงได้สร้างหลวงพ่อ พระองค์แสน(องค์ปัจจุบัน)แทนไว้ให้ ทำด้วยหินเหล็กเส้นชนิดสี่เหลี่ยมเป็นโครง(ผูกลวด) แล้วฉาบด้วยทรายผสมปูนขาวแช่น้ำเปลือก ไม้(ยางบง) น้ำแช่หนัง - มะขาม - น้ำอ้อย และเถา ฝักกรูด ลงรักปิดทอง มีพุทธลักษณะเท่าเดิม ภายในก็บรรจุเครื่องราง ของขลังสมัยก่อนไว้มาก ให้นามว่า "หลวงพ่อพระองค์แสน" เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มาก ซึ่งต่อมามีการบูรณะซ่อมแซมอยู่หลายครั้ง (ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2554 โดยกรมศิลปากร)
ในอดีตเมื่อราวปี 2499 องค์หลวงพ่อเดิมนั้นเกิดชำรุดหนักเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปที่ก่ออิฐถือปูน พอโดนน้ำหรือความชื้นมากๆเข้า ก็ทำให้องค์พระชำรุดไปตามกาลเวลา  เมื่อมีการเฉลิมฉลองสมโพธิ์ราชธานีครบ ๒๐๐ ปีตามประกาศรัฐบาล จะมีการบูรณะปฎิสังขรณ์ขยายโบสถ์ และองค์หลวงพ่อเกิดการชำรุด  ก็เลยมีการจะสร้างหลวงพ่อองค์ใหม่มาแทนที่   เมื่อการบูรณะเริ่มขึ้นช่างชาวญวนพยามทุบองค์พระ และพยามลอกทองที่หุ้มออกแต่พอทุบไปครั้งใด ก็ได้ยินแต่เสียงหัวเราะดังกังวานออกมา จนภายหลังถึงกลับต้องล้มป่วยไป (ผู้รับเหมาคนที่จะรื้อพระคือ นายชุน ศรีดามา นักธุระกิจชาวเวียดนามรุ่นบุกเบิกสกลนคร หลังจากคนงานชาวญวนทุบพระจนแขนขวาร้าวหลวงพ่อยิ้มให้คนงานโดดหนีร้องตระโกนตลอดทางว่า ฝะหยิ้ม (ออกสำเนียงแบบไม่ชัด) ต่อมาองค์ ชุน ก็รถคว่ำแขนหัก คนสกลรุ่นเก่าๆจึงเรียกองค์ชุนว่า องค์ชุนฝะหยิ้ม)  ด้วยเหตุนี้จึงต้องล้มเลิกการบูรณะเอาหลวงพ่อออก  จากเหตุดังกล่าวเมื่อท่านมาสักการะหลวงพ่อพระองค์แสน จะเห็นมีหลวงพ่อซ้อนกันอยู่ ๒ องค์ องค์หน้าคือหลวงพ่อองค์เดิม ส่วนองค์หลังเป็นองค์ใหม่ที่จะสร้างขึ้นมาแทนนั่นเอง
จากประวัติหลวงพ่อหลายอย่าง ในสมัยก่อนเคยมีพระมอญ ที่เคยมาบำเพ็ญศีลภาวนาที่วัด แล้วพอจะกลับก็บอกพระที่วัดไว้ว่า หลวงพ่อองค์นี้เป็นองค์ปลอม แต่เป็นองค์ปลอมที่ศักดิ์ศิทธิ์มาก ปู่ย่าตายายชาวสกลนครและหลายๆคน คงเคยได้ยินตำนานเล่าต่อกันมาว่า บริเวณกลางหนองหารนั้น จะมีจุดที่ลึกมากกว่าปกติ อยู่หลายแห่ง ซึ่งชาวประมงหนองหารจะเรียกว่า ขุม หรือหลุมนั้นเอง และจะมีชื่อเรียกต่างๆกัน เช่น ขุมใหญ่ ขุมเต่าฮาง ขุมก้านเหลือง ซึ่งขุมนี้จะลึกประมาณ ๑๕-๒๐ เมตรทีเดียวเชื่อกันว่าในสมัยก่อนเมื่อพระยาขอม(พระเจ้าชัยวรมันที่ 7) จะย้ายเมืองอพยพผู้คนไปอยู่เขมรนั้น พระองค์ได้เอา หลวงพ่อพระสุวรรณแสน องค์เดิมมาซ่อนไว้ที่ขุมลึกกลางหนองหารชาวประมงจะเรียกจุดนี้ว่า ขุมใหญ่ ซึ่งเป็นขุมที่ลึกที่สุด
ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบหนองหาร ส่วนใหญ่เป็นชาวนาและมีอาชีพเสริมคือชาวประมง บ่อยครั้งที่ชาวบ้าน(เชื่อว่าต้องเป็นผู้มีบุญ)บังเอิญไปหาปลาแถวนั้น และแหหรืออวนไปติดกับอะไรบางอย่างใต้น้ำ เมื่อดำลงไปก็เห็นองค์พระสีทององค์ใหญ่จมอยู่บริเวณนั้น แต่เมื่อทางราชการมาสำรวจนำนักประดาน้ำมาค้นหา ก็ไม่พบแต่อย่างใด ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่าเป็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อที่จะอยู่ ณ ตรงนั้น เพื่อรอวันที่ผู้มีบุญวาสนามากพอมาเชิญหลวงพ่อขึ้นมา หรือจนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าองค์ที่ห้า หรือพระศรีอาริยะเมตไตรมาประทับรอยพระพุทธบาทที่พระธาตุเชิงชุมนั้นเอง
ในปัจจุบันเวลาผ่านมาหลายปี อาจจะเป็นเพราะ สาหร่าย วัชพืชน้ำ ตะกอนต่างๆทับถมกันสูงขึ้นทุกวัน จึงไม่มีคนพบเห็นอีก ด้วยเหตุนี้ชาวสกลนครจึงถือว่าหนองหาร เป็นหนองน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดด้วย

เทพฮอรัส

เทพฮอรัส( Horus)  เป็นพระโอรสของเทพโอซีริส และเทวีไอซิส และเป็นพระสวามีของเทวีฮาธอร์ พระองค์ทรงเป็นเทพที่เกิดมาจากการรวมกันเทพสองสิ่ง ได้แก...