วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

พระนางกุนตี

พระนางกุนตี
 มีชื่อเดิมว่า "ปฤถา" เป็นธิดาในท้าวศูระเสน กษัตริย์แห่งกรุงมถุรา มีพี่ชายนามว่า "วาสุเทพ" ซึ่งเป็นบิดาของ"พระกฤษณะ" ดังนั้นพระกฤษณะจึงมีศักดิ์เป็นหลานชายของพระนางนั่นเอง
กาลต่อมาท้าวกุนติโภช ซึ่งเป็นพระญาติสนิทกับท้าวศูระเสนได้ขอพระนางไปเลี้ยงเป็นพระธิดาบุญธรรม เนื่องจากไม่มีโอรสธิดา ท้าวศูระเสนจึงมอบให้ด้วยความยินดี เมื่อมาอยู่กับท้าวกุนติโภชจึงได้นามใหม่ว่า "กุนตี"
อยู่มาวันหนึ่งมหาฤๅษีทุรวาสได้เดินทางมายังเมืองของท้าวกุนติโภช ซึ่งท้าวกุนติโภชได้มอบหมายให้พระธิดากุนตีคอยปรนนิบัติรับใช้จนมหาฤๅษีพอใจ จึงให้พรเป็นมนต์สำหรับเชิญเทพเจ้าลงมาประทานบุตรให้ เพราะมหาฤๅษีทุรวาสทราบด้วยญาณว่า ในอนาคตพระธิดากุนตีต้องเชิญเทพเจ้าลงมาประทานบุตรให้ เพราะไม่อาจมีบุตรกับสวามีของนางได้นั่นเอง แต่ด้วยความคึกคะนองของนางที่อยากทดสอบมนต์ของมหาฤๅษีว่าจะศักดิ์สิทธิ์เพียงใด จึงลองเชิญพระสุริยเทพดู พระสุริยะเทพก็ปรากฏกายต่อหน้านาง แต่ด้วยความที่นางไร้เดียงสาจึงไม่ต้องการมีบุตร แต่ด้วยมนต์นั้นพระสุริยะเทพไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ จึงประทานบุตรให้แก่นางโดยที่นางไม่เสียพรหมจรรย์ เมื่อนางคลอดลูกแล้ว ด้วยความอายกลัวคนอื่นจะครหาว่ามีบุตรก่อนจะแต่งงาน นางจึงนำบุตรน้อยใส่กล่องแล้วลอยไปในแม่น้ำคงคา ซึ่งต่อมาบุตรคนนี้ก็คือ "กรรณะ" พี่ชายคนโตของเหล่าปาณฑพ แต่อยู่ฝ่ายเการพและมีบทบาทอย่างมากในสงครามมหาภารตะนั่นเอง
ต่อมาท้าวกุนติโภชได้จัดพิธีสยุมพรให้แก่พระธิดากุนตีกับท้าวปาณฑุแห่งกรุงหัสตินาปุระ และต่อมาไม่นานท้าวปาณฑุก็มีชายาอีกองค์หนึ่ง นามว่า "พระนางมาทรี" ในตอนแรกพระนางกุนตียังไม่ยอมรับในพระนางมาทรีเท่าไหร่ แต่เมื่อได้สนทนากันเห็นว่านางเป็นคนดีจึงยอมรับและรักนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง
ครั้งหนึ่งท้าวปาณฑุได้ออกไปล่าสัตว์ เห็นกวางสองตัวกำลังเสพสังวาสกัน จึงแผลงศรไปโดนกวางทั้งสองตัวเข้า ซึ่งกวางทั้งสองเป็นพราหมณ์และพราหมณีแปลงร่างมา ก่อนทั้งสองจะสิ้นใจได้สาปว่า หากท้าวปาณฑุเกิดอารมณ์ที่จะอภิรมย์สมสู่กับชายาตนเมื่อใด จงสิ้นชีวิตเมื่อนั้น ท้าวปาณฑุเกรงในคำสาปนี้จึงสละราชสมบัติให้ท้าวธฤตราษฎร์ขึ้นครองแทน แล้วไปบำเพ็ญศีลในป่า ซึ่งพระนางกุนตีและพระนางมาทรีได้ติดตามไปด้วย และในวันหนึ่งท้าวปาณฑุปรารถนาจะมีโอรส พระนางกุนตีจึงบอกเรื่องมนต์เชิญเทพเจ้ามาประทานบุตร ท้าวปาณฑุจึงขอให้พระนางกุนตีเชิญ "พระธรรมราช" (พระยม) "พระวายุ" และ"พระอินทร์" มาประทานบุตรให้ ซึ่งก็ได้บุตรชายคือ "ยุธิษฐิระ""ภีมะหรือภีมเสน" และ"อรชุน" ตามลำดับ ฝ่ายพระนางมาทรีปรารถนาจะมีโอรสบ้างจึงอ้อนวอนให้พระนางกุนตีสอนมนต์ให้แก่นาง พระนางกุนตีก็ไม่ขัดข้อง พระนางมาทรีจึงเชิญ "พระอัศวิน" โอรสฝาแฝดของพระสุริยะเทพมาประทานโอรสให้ ก็ได้โอรสแฝดนามว่า "นกุล" กับ "สหเทพ" รวมกันเป็นพี่น้อง "ปาณฑพ" นั่นเอง
วันหนึ่งท้าวปาณฑุกับพระนางมาทรีไปหาฟืนและอาหารในป่า ท้าวปาณฑุเกิดอารมณ์รักเข้าจึงจะสมสู่กับพระนางมาทรี แต่ในขณะกำลังซบบนพระถันของพระนางมาทรี ท้าวปาณฑุก็สิ้นใจตายในทันทีตามคำสาป พระนางมาทรีทำใจไม่ได้จึงตามท้าวปาณฑุไปในกองไฟเผาศพ แต่ก่อนไปพระนางได้ฝากฝังนกุลกับสหเทพให้กับพระนางกุนตีคอยดูแลด้วย ซึ่งต่อมาพระนางกุนตีกับโอรสทั้ง 5 ได้กลับไปยังกรุงหัสตินาปุระอีกครั้ง
มีอยู่คราวหนึ่งพระนางกุนตีกับพี่น้องปาณฑพได้รับคำเชิญให้ไปประทับยังเมืองวาราณาวัต ซึ่งทุรโยธน์กับลุงนามศกุนิ ได้วางแผนให้ ปุโรจัน ไปสร้างพระราชวังที่ประทับให้กับพี่น้องปาณฑพซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อเพลิงอย่างดี เมื่อเหล่าปาณฑพกับพระนางกุนตีนอนหลับ ปุโรจันก็วางเพลิง แต่โชคดีที่มหามนตรีวิฑูรทราบเรื่องก่อน จึงเตรียมทางหนีไว้ให้ ทั้งพระนางกุนตีและพี่น้องปาณฑพจึงรอดจากการวางเพลิงไปได้ ส่วนปุโรจันนั้นตายในกองเพลิงนั้นเอง

ฤๅษีนารัทมุนี


ฤๅษีนารทมุนี (สันสกฤตनारद หรือ नारद मुनी) เป็นบุตรของพระพรหม เป็นสาวกคนแรกของพระนารายณ์ และเป็นผู้ที่นำเรื่องราวบนโลกมนุษย์มารายงานแด่พระศิวะ ฤๅษีนารทมุนีเป็นทูตเอกของสวรรค์ และมีบทบาทในมหาภารตะและรามเกียรติ์เป็นอย่างมาก ในเรื่องรามเกียรติ์ ฤษีเป็นผู้แนะนำให้หนุมานใช้น้ำในบ่อน้อยของตนเอง ก็คือ น้ำลายในปากของหนุมานดับไฟ เมื่อตอนที่หนุมานไปเผากรุงลงกา ในมหาภารตะ ฤๅษีนารทมุนีมีหน้าที่คอยส่งสำคัญให้แก่พระกฤษณะ พระพลราม ยุธิษฐิระ และอรชุน คือ ในมหาสงครามทุ่งกุรุเกษตร ฤๅษีนารทมุนีได้ส่งข่าวบอกแก่พระพลรามว่า "ภีมะกำลังดวลตะบองกับทุรโยธน์" และเมื่อตอนที่พระอนิรุทธิ์หายตัวไป ฤๅษีนารทมุนีก็แจ้งแก่พระกฤษณะว่า "พระอนิรุทธิ์ถูกท้าวกรุงภาณจับตัวไปขังในคุก" และเมื่อตอนที่ท้าวธฤตราษฎร์ พระนางคานธารี พระนางกุนตี ท้าววิทูร เสียชีวิตในป่า ฤๅษีนารทมุนีก็เป็นผู้แจ้งข่าวให้กับยุธิษฐิระว่า "ท้าวธฤตราษฎร์ พระนางคานธารี พระนางกุนตี ท้าววิทูร เสียชีวิตแล้ว และฤๅษีนารทมุนีเป็นผู้บอกถึงจุดอ่อนของทุรโยธน์ให่แก่อรชุน" นอกจากนี้ฤๅษีนารทมุนีก็ยังเป็นผู้เล่าเรื่องของพระรามให้แก่ฤๅษีวาลมีกิจนเกิดเป็นคัมภีร์รามายณะ
ในภาพยนตร์ของบอลลีวู้ด โดยเฉพาะหนังเกี่ยวกับเทพเจ้า บทพูดของฤๅษีนารทมุนีที่ทุกคนจำได้ คือ คำว่า "นาร้ายณ์ นารายณ์"

พระพิฆเนศ

พระพิฆเนศ


กำเนิดพระพิฆเนศได้บันทึกไว้ในคัมภีร์ปราณะในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่1 ว่าพระพิฆเนศเป็นโอรสของพระแม่อุมาเทวีกับพระศิวะเทพ โดยมีตำนานกล่าวไว้แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
ตำนานที่หนึ่ง : ปราบอสูรและรากษส
หลังจากที่อสูรและรากษสได้ทำพิธีบวงสรวงพระศิวะเพื่อขอพรจนได้รับพรตามประสงค์ อสูรและรากษสก็ได้ใจกลับมารุกรานเหล่าเทวดาจนได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว ร้อนถึงพระอินทร์ที่จึงเป็นต้องพาเหล่าเทวดาทั้งหลายไปเข้าเฝ้าพระศิวะเจ้าเพื่อหาหนทางแก้ไข หรือหาผู้กล้าที่จะมาปราบเหล่าอสูรและรากษสให้หมดฤทธิ์ไป เมื่อพระศิวะได้ฟังคำร้องทุกข์จากเหล่าเทวดาแล้ว ก็ทรงแบ่งกายเป็นบุรุษรูปงามลงไปถือกำเนิดอยู่ในครรภ์ของพระอุมาเทวี เมื่อครบกำหนดคลอด พระองค์ได้ทรงให้พระนามว่าแก่ทารกน้อยว่า พระวิฆเนศวร ผู้ที่จะทำหน้าที่ปราบอสูรและรากษสทั้งหลาย หลังจากเสร็จสิ้นจากการปราบอสูรแล้ว พระศิวะได้ทรงมอบหมายให้พระวิฆเนศวรทรงเป็นผู้ขัดขวางและป้องกันเหล่าผู้มีจิตใจพาลต่างๆ ที่หวังจะมาขอพรเพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิด รวมทั้งยังเป็นผู้คัดสรรเหล่าเทวดาและมนุษย์ที่กระทำกรรมดีและบันดาลให้พวกเขาค้นพบกับความสำเร็จได้โดยดี จากการขอพรต่อพระศิวะต่อไป
ตำนานที่สอง : พระปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) ปั้นเหงื่อไหลให้เป็นพระบุตร
กล่าวถึงพระปารวตีที่สรงน้ำอยู่ในอุทยาน พระองค์ได้นำเหงื่อไคลที่ไหลออกมา มาปั้นเป็นหุ่นเทวบุตรรูปงาม อีกทั้งยังทรงใช้เวทย์มนต์เพื่อสร้างสรรค์ให้หุ่นนั้นมีชีวิตจริง จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้เทวบุตรรูปงามผู้นั้นออกไปเฝ้ายังประตูทางเข้าอุทยาน โดยกำชับว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาโดยเด็ดขาด
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยมาทุกครั้งที่พระแม่อุมามาทรงสรงน้ำ ณ อุทยานแห่งนี้ จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อถึงกำหนดการเสด็จกลับของพระศิวะ ทำให้พระศิวะได้พบกับหุ่นเทวบุตร หุ่นเทวบุตรองค์พยายามปกป้องมิให้ผู้ใดย่างกายเข้าในอุทยานตามที่ได้รับคำสั่งจากพระอุมา เมื่อพระศิวะทราบดังนั้น จึงทรงสั่งให้บริวารเข้าต่อสู้และได้สังหารเทวบุตรจนเสียชีวิตลง (บางคัมภีร์กล่าวว่าพระศิวะทรงใช้ตรีศูลตัดเศียรเทวบุตรนั้น แต่บางคัมภีร์ก็ว่าพระวิษณุทรงใช้จักรตัดเศียร)
เมื่อพระปารวตีทรงพบเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ทรงโกรธพระสวามีเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับเกิดศึกใหญ่ระหว่างทั้งสองพระองค์ ความร้อนถึงพระฤาษีนารอด (นารท) ที่ต้องออกไปช่วยเจรจาศึกในครั้งนี้ สุดท้าย พระปราวตีได้กล่าวให้พระศิวะต้องหาหนทางในการชุบชีวิตเทวบุตรให้ฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง จึงจะยอมสงบศึกให้
พระศิวะจึงมีคำสั่งให้เทวดาผู้เป็นบริวารเดินทางไปตัดศรีษะของสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่พบทางทิศเหนือ และนำมาต่อให้กับเทวบุตรผู้เป็นโอรส เทวดาจึงได้เดินทางกลับมาพร้อมกับนำเศียรช้างที่มีงาเดียวมาด้วย หลังจากชุบชีวิตเทวบุตรแล้ว ก็ทรงตั้งพระนามใหม่ว่า คือ คชานนะ (มีหน้าเป็นช้าง) และเอกทันต (ผู้มีงาเดียว) อีกทั้งยังทรงเล่าเรื่องราวต่างๆให้ทั้งสองพระองค์รับทราบ เมื่อทั้งสองพระองค์ทราบว่าพระศิวะทรงเป็นพระบิดา ซึ่งฝ่ายโอรสจึงรีบหมอบกราบเพื่อขออภัยโทษในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตน ทำให้พระศิวะทรงพอพระทัยยิ่งนัก ถึงกับประทานพรเป็นรางวัลให้แก่พระโอรส ให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือเหล่าภูตผีทั้งปวง อีกทั้งยังทรงแต่งตั้งให้เป็น คณปติ หรือผู้ที่เป็นใหญ่ในที่สุด
ตำนานที่สาม : ขวางคนชั่วที่ต้องการล้างบาป ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร
ตำนานกล่าวไว้ว่าพระปารวตีได้ทรงนำน้ำที่ใช้สรงกายมาผสมเหงื่อไคล แล้วปั้นเป็นเทวบุตรรูปกายเป็นมนุษย์แต่มีเศียรเป็นช้าง จากนั้นจึงประพรมน้ำจากพระคงคาเพื่อเนรมิตให้เทวบุตรมีชีวิตขึ้นมา ทั้งนี้พระองค์มีพระประสงค์ให้เทวบุตรไปขัดขวางคนชั่วที่จะไปบูชาศิวลึงค์ เพราะหวังที่จะไปล้างบาปให้แก่ตนเองไม่ให้ตนตกขุมนรก ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร
จากเรื่องเล่านี้เอง ทำให้ชาวฮินดูนิยมนำรูปปั้นของพระพิฆเนศมาจุ่มน้ำ ณ วัดคเนศจาตุรถี หรือบางครั้งก็มีความเชื่อว่า หากนำเทวรูปเล็กๆไปทิ้งตามแม่น้ำคงคา น้ำจากแม่น้ำคงคาจะทำให้พระพิฆคเนศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง
ตำนานที่สี่ : พระกฤษณะอวตาร
มีเรื่องเล่าเมื่อครั้งที่พระปารวตียังไม่มีโอรสว่า พระศิวะเทพผู้เป็นสวามีได้แนะนำให้จัดทำพิธีปันยากพรต (การบูชาพระวิษณุเทพในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือนมาฆะ) โดยพิธีนี้จะใช้เวลานานถึง 1 ปี แต่หากทำได้โดยตลอดจนครบ ก็จะทำให้ขอบุตรได้สำเร็จ ซึ่งพระกฤษณะจะยอมอวตารลงมาจุติก็ต่อเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคำของพระศิวะเทพแล้ว ด้วยเหตุนี้ เหล่าเทวดาทั้งหลายจึงได้เข้ามาร่วมอวยพรในการถือกำเนิดของพระโอรสพระองค์นี้ ซึ่งรวมไปถึงเทพศนิ (พระเสาร์) ด้วย ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าหากพระศนิเพ่งมองสิ่งใด สิ่งนั้นก็มักจะเกิดไฟเผาผลาญจนมอดดำหมดสิ้นไป
ในครั้งที่พระศนิได้เข้าร่วมพิธีอวยพรและชื่นชมพระโอรส พระศนิได้เผลอตนไปเพ่งมองพระโอรสจนเศียรของพระกุมารหลุดกระเด็นไปยังโคโลก (ที่ประทับพระกฤษณะ) พระศิวะจึงรีบมีบัญชาให้พระวิษณุออกตามหาเศียรพระโอรสกลับมา แต่ก็ไม่สามารถหาพบ เมื่อผ่านแม่น้ำบุษปภัทร พระวิษณุทรงเห็นช้างนอนหันหัวไปทางทิศเหนืออยู่ จึงได้ตัดเศียรช้างตัวนั้นเพื่อนำกลับมาต่อให้พระโอรส
ตำนานที่ห้า : พระศิวะ-พระปารวตีแปลงเป็นช้าง
ครั้งที่พระศิวะและพระปารวตีได้เสด็จไปยังภูเขาหิมาลัย ทั้งสองพระองค์ได้แลเห็นช้างกำลังสมสู่กัน จึงบังเกิดความใคร่พระองค์จึงทรงแปลงกายเป็นช้าง และร่วมสมสู่จนบังเกิดเป็นพระโอรส ที่มีนามว่า พระพิฆเนศ
ตำนานที่หก : พระวิษณุเทพ เปล่งวาจากสิทธิ์ในพิธีโสกันต์
หลังจากที่พระศิวะและพระปารวตีทรงจัดพิธีโสกันต์ให้กับพระโอรสในพิธีฤกษ์วันอังคาร พระองค์ได้เรียนเชิญเทพทั้งหลายให้มาร่วมเป็นสักขีพยาน ขาดแต่เพียงองค์วิษณุเทพที่กำลังทรงอยู่ระหว่างบรรทม
เมื่อใกล้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ พระศิวะเทพจึงทรงให้พระอินทร์ไปเป่าสังข์เพื่อปลุกให้พระวิษณุเทพตื่นจากบรรทม หลังจากที่พระวิษณุเทพทรงตืนจากบรรทมด้วยเสียงดังของสังข์ ก็ร้องตะโกนออกไปด้วยความรำคาญว่า “ไอ้ลูกหัวขาดจะนอนให้สบายก็ไม่ได้” ด้วยอำนาจของวาจาที่พระวิษณุเทพเปล่งออกมา ทำให้เศียรของพระโอรสหายไปในทันที เมื่อเหล่าเทพทั้งหลายเห็นร่วมกัน ก็จึงปรึกษากันว่า วันอังคารนี้ถือเป็นฤกษ์ไม่ดี ห้ามทำพิธีการมงคลใดๆ ทุกประการ
ส่วนพระเศียรของโอรสพระศิวะเทพที่หายไป พระองค์ก็มีบัญชาให้พระวิษณุกรรมไปตัดหัวมนุษย์ที่เพิ่งสิ้นชีวิต ณ ทิศตะวันตก แล้วรีบนำกลับมาต่อให้แก่โอรสโดยเร็ว แต่ในวันนั้น หาได้มีมนุษย์ผู้ใดสิ้นอายุขัยลง พระวิษณุกรรมเห็นว่ามีแค่เพียงช้างพลายงาเดียวเท่านั้นที่สิ้นชีวิตลง จึงตัดสินใจตัดหัวช้างพลายตัวนั้น เพื่อนำกลับมาถวายพระศิวะเทพ
ในช่วงที่ศาสนาพุทธกำลังเติบโตในอินเดีย มีเรื่องเล่ากล่าวในตอนนี้ไว้ว่า หลังจากที่เทวดานำหัวช้างมาต่อให้แก่พระโอรสแล้ว พระโอรสก็ยังไม่อาจฟื้นชีวิตขึ้นมาได้ พระศิวะเทพจึงต้องให้พระวิษณุเทพไปทูลเชิญเสด็จพระศิริมานนท์อรหันต์ ให้โปรดมาสวดพระคาถาชินบัญชร ซึ่งหลังจากได้รับฟังสวดจบ พระโอรสก็ฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง
แต่บางตำนานก็กล่าวกันว่า ในพิธีโสกัณต์ พระราหูได้เคยเตือนพระศิวะแล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น และควรทูลเชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าร่วมพิธีนี้ด้วย แต่พระศิวะเทพก็ไม่เชื่อ แต่บ้างก็ว่า พระอังคารไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธี จึงเกิดความโกรธแค้นและได้ลอบเข้าตัดเศียรพระโอรสไปโยนทิ้งทะเล

พระขันทกุมาร มหาเทพแห่งนักรบแห่งสวรรค์

พระขันทกุมาร มหาเทพแห่งนักรบแห่งสวรรค์


พระขันทกุมาร เป็นมหาเทพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศ โดยในประเทศอินเดียจะเรียกพระขันทกุมารว่า ‘สกันทะ’ หรือแปลว่า ผู้ทำลาย  หรือผู้โลดเต้น  บางครั้ง อาจเรียกว่า ‘กรรตติเกยะ(บางแห่งเขียนว่า การัตติเกยะ)’ ส่วนทางอินเดียตอนใต้ จะเรียกกันว่า ‘สุพราหมัณเย’
ตามหมู่บ้านต่างๆในประเทศอินเดีย พระขันทกุมารจะเป็นที่เคารพนับถือมาก โดยมักจะเห็นได้ว่า แทบทุกหมู่บ้านจะนิยมตั้งศาลเพื่อสักการะบูชาพระขันธกุมาร
ตำนานกล่าวไว้ว่า พระขันธกุมาร (ขันทกุมาร) เป็นโอรสระหว่าง พระศิวะเทพ และ พระนางปราวตี (พระแม่อุมา) พระองค์ประสูติจากน้ำเชื้อของพระศิวะมหาเทพที่ร่วงหล่นลงมาสู่พื้นธรณี ทำให้ยากที่จะพิสูจน์ว่า ระหว่างพระพิฆเนศและพระขันธกุมาร ใครเป็นพี่หรือใครเป็นน้อง
สำหรับประวัติเทวกำเนิดของ พระขันทกุมาร นั้น ไม่ซับซ้อนเหมือนเทพเจ้าองค์อื่นๆ กล่าวกันไว้ว่า พระขันทกุมารเป็นหนุ่มรูปงามที่มี 6 พักตร์ (แม้ว่าบางแห่งวาดเป็นพระพักตร์เดียว) และมี 12 กร ส่วนผิวพรรณนั้นงดงามราวกับดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ แต่รูปร่างสง่างามดุจพระสุริยะเทพ
พระขันทกุมารเกิดมาเพื่อปราบอสูรที่ชื่อ ตาระกาสูร ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นตรีปุระ อสูรตนนี้มีความร้ายกาจเนื่องจากมีตบะที่แรงกล้า เพราะได้ทำสมาธิอย่างเข้มงวดมาเป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปีสวรรค์ และสามารถบำเพ็ญฌานบารมีจนร้อนไปถึงพรหมโลก อีกทั้งยังไม่เกรงกลัวพระบารมีของพระพรหม เพราะคิดว่าตนเองก็เป็นหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเป็นเหตุให้จักรวาลโกลาหลอลหม่านไปทั่ว
การบำเพ็ญฌานบารมีของตาระกาสูรนั้น ทำให้พระพรหมอดทนไม่ได้ จึงต้องรีบเสด็จมาหาอสูรเพื่อประทานพรตามขอ พรที่อสูรตนนี้ขอแก่พระพรหม ก็คือ ขอให้ตนมีชีวิตเป็นอมตะ แข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดในตรีภพต้านทานได้ อีกทั้งต้องไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้ นอกเสียจากโอรสของพระศิวะเทพ ซึ่งเหตุผลที่ขอพรไปเช่นนี้ก็เพราะล่วงรู้ความลับมาว่า พระศิวะกับพระแม่อุมาเทวียังไม่มีโอรสด้วยกัน
หลังจากที่ตาระกาสูรได้รับพรจากพระพรหมแล้ว ก็เริ่มทำตัวอันธพาลโดยการออกอาละวาดไปทั่วจักรวาลทันที  เริ่มต้นจากการยึดวิมาน และกวาดทรัพย์สินของพระอินทร์ไปเสียจนหมด อีกทั้งยังบังคับให้พระฤาษีมอบโคกามเกนุ ซึ่งเป็นโคที่สามารถบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างแก่เจ้าของได้ทั้งหมด รวมไปถึงการเปลี่ยนกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ  เช่น บังคับให้พระอาทิตย์ไร้แสงและไร้ความร้อน บังคับให้พระจันทร์ไม่มีวันหายไป หรือบังคับให้เกิดพายุพัดโหมกระหน่ำและเปลี่ยนทิศตามคำสั่งของตน ซึ่งทุกๆการกระทำยังผลให้โลกเกิดความวุ่นวายเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
กล่าวถึงฝ่ายเทวดาทั้งหลายอันมี พระวิษณุเทพ เป็นใหญ่ เหล่าเทวดาได้เสด็จไปเข้าเฝ้าพระศิวะเทพที่พระทวารประทับชั้นใน และพร้อมกันเปล่งเสียงเพื่อสรรเสริญในพระบารมีแห่งมหาเทวะ คราวนั้นถึงกับทำให้พระศิวะต้องทรงผละพระวรกายปรากฎกายต่อเบื้องหน้าเทพทั้งหลาย เมื่อพระองค์ทรงเห็นใบหน้าอันแสนเศร้าหมองของเทวดา จึงได้ไต่ถามว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น
ฝ่ายวิษณุเทพผู้เป็นใหญ่ที่สุดจึงได้เล่าเรื่องราวของอสูรตาระกาที่ได้รับพรจากพระพรหมให้มีชีวิตอมตะ และมีอำนาจเหนือใคร มีเพียงโอรสของพระศิวะเท่านั้นที่จะสามารถสังหารอสูรตัวนี้ได้  ฝ่ายเทพทั้งหลายจึงตั้งหน้าตั้งตารอการประสูติของโอรสแห่งพระศิวะอยู่นานนับพันปี และได้มาเข้าเฝ้าเพื่อขอพึ่งบารมีของพระศิวะเทพ
เมื่อได้ฟังดังนั้น พระศิวะมหาเทพ ก็ได้ทรงแบ่งน้ำเชื้อที่มีความร้อนเหมือนไฟแห่งการทำลายล้างออกมาหนึ่งหยด และปล่อยร่วงลงสู่พื้นดิน แต่ด้วยความรีบร้อน พระอัคนีจึงได้รีบแปลงกายเป็นนกเขา แล้วกลืนเอาน้ำเชื้อนั้นเข้าไป ด้วยความร้อนแรงแห่งน้ำเชื้อจนแทบทนไม่ได้ ทำให้พระอัคนีเกิดอาการร้อนรน พระศิวะจึงบอกให้ปล่อยน้ำเชื้อไปฝากไว้ในครรภ์ของผู้หญิง แต่ต้องใส่ในครรภ์ของผู้หญิงที่ได้อาบน้ำในวันแรกของเช้าตรู่เดือนมาฆะเท่านั้น
ในวันนั้น ได้มีภริยาของฤาษีทั้ง 7 ตนมาอาบน้ำพอดี ปรากฎว่าภริยาทั้ง 6 คนของฤาษีที่ลงอาบน้ำ ได้ถูกน้ำเชื้อที่นกเขาคายไว้ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายไปตามรูขุมขน จนทำให้นางทั้งหกรู้สึกร้อนรนและทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก  และได้ถูกเหล่าฤาษีขับไล่ออกไปจากอาศรม จากนั้นจึงทำลายน้ำเชื้อตัวอ่อนทิ้ง แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งโยคะที่เทือกเขาหิมาลัย เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความทรมาน โดยการเหวี่ยงตัวอ่อนลงไปที่แม่น้ำคงคา เช่นเดียวกันกับ พระแม่คงคา ที่ได้เหวี่ยงเอาตัวอ่อนนี้ขึ้นไปที่พงหญ้า การกระทำเช่นนี้เปรียบเสมือนการชุบตัวจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงได้ปรากฎเป็นเด็กทารกน้อยขึ้นมาที่พงหญ้านั้น
เมื่อโอรสแห่งพระศิวะเทพได้ถือกำเนิด พระพรหมก็ทรงรับรู้ได้ด้วยญาณ และให้พระฤาษีวิศวามิตรเดินทางไปประกอบพิธีให้แก่โอรสน้อยแห่งศิวะเทพ ทารกคนนี้มีความพิเศษ สามารถพูดได้ตั้งแต่ยังแบเบาะว่า “ด้วยประสงค์ของพระศิวะเทพที่ส่งท่านมายังที่นี้ ขอให้ท่านฤาษีจงประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อชำระร่างกายของข้า ให้บริสุทธิ์ตามกฎแห่งพระเวทที่วางไว้เถิด”
กล่าวถึงฝ่ายพระอัคนีที่สมัยเคยจำแลงกายเป็นนกเขาและอุ้มน้ำเชื้อไว้ ก็ได้เดินทางตามมาด้วย และได้ถวายคฑาศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระองค์ เมื่อทารกได้รับอาวุธ พระขันทกุมารก็เหาะขึ้นไปบนยอดเขาแห่งหนึ่งทันที เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงพลังอำนาจแห่งตน จากนั้นก็ใช้คฑาฟาดฟันจนภูเขาถล่มทลายลงในทันตา และเมื่อยอดเขาแยกออก ก็ได้ปรากฎกายปีศาจ 10 โกฏิตนออกจำนวนมาก แต่พระองค์ก็สังหารจนหมดสิ้น
เมื่อ นางกฤตติกา (กลุ่มดาวทั้ง 6 ดวง) ได้ลงมาอาบน้ำ แล้วแลเห็นกอหญ้ามีกุมารน้อยนอนอยู่ จึงนำเอากุมารไปเลี้ยงดูด้วยความรักใคร่ และเมื่อกลับมาถึงดินแดนของนางทั้งหก กุมารจึงได้แยกร่างออกเป็น 6 พระองค์ เพื่อไม่ให้แม่นมทั้ง 6 เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ  ซึ่งบางตำนานอาจบอกว่ามีถึง 6 พระพักตร์ในร่างเดียว แต่ด้วยเหตุที่เป็นลูกที่รักยิ่งของนางการัตตี พระองค์จึงได้รับนามว่า พระการัตตีเกยะ (Kaitikeya)

ในขณะเดียวกันนั้นเอง ได้เกิดเหตุแปลกประหลาดขึ้นกับพระนางปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) กล่าวคือ ต้านมทั้งสองข้างมีน้ำนมไหลออกมา นางจึงได้ถามความกับพระศิวะ และทราบเรื่องน้ำเชื้อที่หล่นบนผืนดิน ซึ่งส่งผลให้นางมีน้ำนมไหลอยู่เช่นนี้ เมื่อรับรู้แล้วว่าโอรสถือกำเนิดแล้ว แต่กลับไม่ว่าอยู่แห่งหนใด พระศิวะจึงมีคำสั่งให้ผู้ใดที่ครอบครองกุมารอยู่ รีบเอามาคืนโดยด่วน มิฉะนั้นจะได้รับโทษอย่างหนัก
พระศิวะเทพและพระอุมาเทวี เริ่มไต่ถามความจริงจากหมู่เทพ โดยเริ่มถามจากพระพรหม และไล่เรียงไปจนมาถึงกลุ่มดาวทั้งหก ซึ่งในที่สุดก็ได้รู้ความจริง พระศิวะเทพยินดีเป็นอย่างมาก ที่นางทั้งหกได้รับโอรสของพระองค์ไปดูแลเป็นอย่างดี จึงได้ส่งคณะเทพบริวารไปทูลเชิญกุมารให้กลับยังเขาไกรลาส
ในวันเสด็จกลับนั้น พระนางปราวตีได้จัดส่งราชรถที่สร้างโดยพระวิศวกรรมไปรับ พระโอรสจึงเสด็จกลับมาพร้อมกับพระแม่กฤตติกาและ นนทิเกศวร และเมื่อราชรถมาถึงเขา ณ เขาไกรลาส เทพเทวดาทุกชั้นฟ้าก็เสด็จมาอำนวยชัย ต้อนรับกันอย่างเอิกเกริก ด้วยการประโคมดนตรีเป่าสังข์ และมีการนำเอาหม้อน้ำหลายร้อยใบที่บรรจุแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ มาชำระล้างร่างกายให้แก่กับกุมาร

สภาเทพแห่งโอลิมปัส

สภาเทพแห่งโอลิมปัส
สภาเทพแห่งโอลิมปัส ประกอบไปด้วยเหล่าเทพสูงสุดทั้งหมด 12 องค์ ตามแบบความเชื่อของชาวกรีกโบราณ เทพเหล่านี้จะสถิตย์อยู่ ณ เขาโอลิมปัส ซึ่งเป็นเขาที่สูงสุดในประเทศกรีซ เทพทั้ง 12 องค์ มีดังต่อไปนี้
  • ซูส (Zeus) เป็นเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาเทพทั้งหมด ทำหน้าที่ปกครองสวรรค์และทวยเทพ รวมถึงเป็นเทพแห่งท้องนภาด้วย
  • โพไซดอน (Poseidon) เป็นเทพแห่งท้องทะเลและแม่น้ำ พี่ชายของเทพซุส คือน้ำท่วมและแผ่นดินไหว
  • เฮรา (Hera) เป็นชายาของเทพซูส ถือเป็นองค์ราชินีแห่งสรวงสรรค์และดวงดาว และเป็นเทพีแห่งการแต่งงานและความจงรักภักดี
  • อพอลโล (Apollo) เป็นโอรสของเทพซูส ถือเทพแห่งดวงอาทิตย์(แสง) และเป็นเทพแห่งการศึกษา ศิลปวิทยาการ การรักษาโรค การพยากรณ์ การแพทย์ และการธนู
  • อาร์เทมีส (Artemis) เป็นฝาแฝดเพศหญิงกับอพอลโล่ ถือเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์ การล่าสัตว์ป่า และเทพีผู้ปกป้องคุ้มครองหญิงสาว
  • อะธีนา (Athena) เป็นธิดาของเทพซูส หรือเป็นเทพีแห่งสงคราม เทพีแห่งปัญญา งานหัตถกรรม ทั้งงานทอผ้า ปั้นหม้อ และงานไม้
  • เฮฟเฟสตุส (Hephaestus) เป็นเทพแห่งการตีเหล็ก และเทพแห่งไฟ
  • อาเรส (Ares) เทพแห่งสงคราม
  • อโฟรไดท์ (Aphordite) เป็นเทพีแห่งความรัก และเทพีแห่งความงดงาม
  • เฮอร์มีส (Hermes) เป็นเทพแห่งการค้าขาย เทพแห่งการโจรกรรม และผู้ส่งสารแก่เหล่าทวยเทพ
  • เฮสเทีย (Hestia) เป็นเทพแห่งการครองเรือน หรือเทพแห่งครอบครัว
  • ดีมิเตอร์ (Demeter) เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเก็บเกี่ยวผลผลิต

เทพฮอรัส

เทพฮอรัส( Horus)  เป็นพระโอรสของเทพโอซีริส และเทวีไอซิส และเป็นพระสวามีของเทวีฮาธอร์ พระองค์ทรงเป็นเทพที่เกิดมาจากการรวมกันเทพสองสิ่ง ได้แก...